12/6/54

รวมสุดยอดพระพิมพ์แห่งสยาม


"วัตถุมงคล" กลเม็ดอันสูงส่งของโบราณาจารย์ 
 "หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ" ท่านได้กล่าวถึงการบูชา "วัตถุมงคล" ต่างๆเอาไว้ได้อย่างน่าคิดว่า "คนเรานั้นถ้าติดในวัตถุมงคล ก็ย่อมดีกว่าติดในวัตถุอัปมงคล "
โบราณาจารย์ ท่านมีปัญญาท่านฉลาดมาก ท่านสอนให้เรายึดใน พุทธานุสติ ธัมมานุสติ สังฆานุสติ คือให้ระลึกถึง พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์  ด้วยการสร้างวัตถุมงคลขึ้นมาให้เราปฏิบัติกรรมฐานใหญ่โดยที่เราไม่รู้ตัว ท่านให้เราอาราธนาทุกวัน โดยระลึกถึงทุกวันเป็นอนุสติอยู่เสมอ แล้วมีข้อกำกับว่า ถ้าหากว่าศิลบริสุทธิ์แล้วนั้น สิ่งทั้งหลายทั้งปวงเหล่านี้ ก็จะมีอานุภาพคุ้มครองเราได้ระดับหนึ่งที่ไม่เกินกฏของกรรม  บทความนี้ถือเป็นสิ่งที่คอยย้ำเตือนให้เราๆท่านๆทั้งหลาย ได้ตระหนักถึงสิ่งที่เป็นหัวใจหลักของการบูชาพระเครื่อง หรือวัตถุมงคลต่างๆอย่างแท้จริง เป็นกลเม็ดอันสูงส่งของโบราณาจารย์ ที่ต้องการให้ลูกหลานอย่างเราๆท่านๆทั้งหลาย ได้เข้าใกล้และซึมซับ นพระธรรมคำสอนอยู่เสมอ เพราะเมื่อจิตใจเรายึดมั่น อยู่กับพระธรรมคำสอน ไม่ฟุ้งซ่านกับสิ่งยั่วยวนหรือกิเลสทั้งหลายแล้วนั้น ก็จะทำให้เราๆท่านๆทั้งหลาย พบเจอแต่ความสุข ความเจริญ ในการดำเนินชีวิต ได้โดยปริยาย ...


แนวทางการศึกษาและสะสม ในเรื่องราวของพระเครื่อง หรือวัตถุมงคล และเครื่องราง-ของขลังต่างๆ  
สำหรับตัวผมนั้น จะยึดหลักในการวิเคราะห์รายละเอียดขององค์พระเครื่อง และวัตถุมงคลชนิดต่างๆ ทั้งจาก ภายนอก และ ภายใน ควบคู่กันไปทั้งสองหลักการณ์อยู่เสมอ   การวิเคราะห์จากภายนอก  คือการพิจารณาในเรื่องของพิมพ์ทรง รูปแบบลักษณะต่างๆ ที่เห็นได้จากภายนอกของพระเครื่อง หรือวัตถุมงคลชนิดนั้นๆ เพื่อให้สามารถที่จะแยกแยะพิมพ์ทรง และลักษณะเนื้อหาต่างๆ หรือคุณลักษณะอื่นๆ ขององค์พระเครื่อง หรือวัตถุมงคลชิ้นนั้นๆได้อย่างถูกต้อง และเข้าใจได้อย่างถ่องแท้เสียก่อน ถือเป็นขั้นพื้นฐานในการศึกษาที่ถูกต้อง   การวิเคราะห์จากภายใน  คือการตรวจสอบถึงพลังงานแฝง ที่ประจุอยู่ภายในขององค์พระเครื่อง หรือวัตถุมงคลชิ้นนั้นๆ ซึ่งโดยปกติแล้วนั้นพระเครื่องหรือวัตถุมงคลชนิดต่างๆ ที่ผ่านการปลุกเสกมาแล้ว จะมีพลังงานแฝง ที่ประจุอยู่ภายในองค์พระเครื่อง หรือวัตถุมงคล อยู่เสมอ ซึ่งจะมีพลังงานที่หลากหลายรูปแบบ และแตกต่างกันออกไป ตามแต่ที่องค์ครูบาอาจารย์แต่ละท่าน ได้เมตตาอธิษฐานจิต ปลุกเสกเอาไว้ในองค์พระเครื่อง หรือวัตถุมงคลต่างๆนั้น ซึ่งจะเป็นไปตามแบบฉบับของแต่ละท่านเอง พลังงานแฝงในองค์พระเครื่อง หรือวัตถุมงคล หรือที่รู้จักกันดีในนามที่เรียกว่า "พลังอิทธิคุณ" ซึ่งหมายถึงคุณอันวิเศษ ที่ประจุภายในองค์พระเครื่อง หรือวัตถุมงคลนั่นเอง พลังงานแฝงในองค์พระเครื่อง หรือวัตถุมงคล ที่ได้ผ่านการอธิษฐานจิตปลุกเสก จากองค์ครูบาอาจารย์แล้วนั้น จะมีพลังงานที่มากน้อยและเข้มขลังประการใดนั้น จะขึ้นอยู่ที่พลังจิต หรือฌานสมาบัติ ของครูบาอาจารย์องค์นั้นๆเป็นหลักเสมอ ด้วยเหตุนี้พระเครื่อง หรือวัตถุมงคลขององค์ครูบาอาจารย์ในแต่ละท่านนั้น จึงมีความเข้มขลัง และศักดิ์สิทธิ์ และมีรูปแบบของพลังงานแฝง ที่แตกต่างกันออกไปโดยสิ้นเชิง และสิ่งเดียวที่เราจะสามารถชี้ชัดได้ว่า พระเครื่อง หรือวัตถุมงคลชนิดใด เป็นขององค์ครูบาอาจารย์ท่านใด และสิ่งใดที่เป็นของจริงของแท้ ที่องค์ครูบาอาจารย์ท่านได้สร้าง และเมตตาอธิษฐานจิตปลุกเสกไว้นั้นก็คือ "การตรวจสอบพลังงานแฝง ในองค์พระเครื่องหรือวัตถุมงคล เพียงเท่านั้น" ซึ่งสิ่งนี้ถือเป็นสิ่งที่สำคัญมากที่สุด และเราควรที่จะต้องใส่ใจ และให้ความสำคัญมากที่สุด ในการที่เราจะศึกษาและสะสม เพื่อการบูชาในคุณอันวิเศษ ขององค์พระเครื่อง หรือวัตถุมงคลต่างๆ อย่างแท้จริง  สำหรับตัวผมนั้น ได้เน้นหนักในเรื่องของการวิเคราะห์ และตรวจสอบพลังงานแฝงในองค์พระเครื่อง หรือวัตถุมงคล เป็นหลักเสมอมา ผมต้องมั่นใจได้ว่า สิ่งที่ผมกราบไว้บูชาและพกพาติดตัวอยู่เสมอนั้น เป็นสิ่งที่สามารถเพิ่มความเป็นสิริมงคลให้ชีวิต และคุ้มครองตัวผม ได้อย่างเต็มที่ในทุกๆด้าน เมื่อมีเหตุเภทภัยมาถึงตัว ในทุกๆสถานะการณ์ ของการดำเนินชีวิตนั่นเอง...
บล็อคเล็กๆของผมนี้ ได้รวบรวมเอาองค์พระเครื่อง หรือวัตถุมงคล ที่ได้ตรวจสอบในด้านของพลังงานแฝง (พลังอิทธิคุณ) ที่ประจุอยู่ในองค์พระเครื่อง หรือวัตถุมงคล อย่างละเอียดแล้วทุกองค์ ซึ่งพระเครื่อง หรือวัตถุมงคล ทุกอย่างที่ปรากฏในบล๊อคนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นของจริงของแท้ ตามแบบฉบับที่องค์ครูบาอาจารย์ ท่านได้เมตตาจัดสร้างไว้อย่างแท้จริง เข้มขลังศักดิ์สิทธิ์และมากล้นด้วยพุทธบารมีอันสูงส่งอย่างที่สุด  พระเครื่อง หรือวัตถุมงคลต่างๆ ที่เป็นของจริงของแท้ๆนั้นยังสามารถพบเห็นได้อย่างแพร่หลายในบ้านเมืองของเรา โดยที่พระเครื่อง หรือวัตถุมงคล ที่ได้รับความนิยมในบางอย่างบางชนิดนั้น แท้จริงแล้วไม่ได้มีจำนวนที่จำกัดอย่างที่ยอมรับกันอยู่เช่นปัจจุบันนี้อย่างแน่นอน  ดังนั้นหากว่าท่านทั้งหลาย สามารถที่จะเข้าถึงความเป็นจริง เกี่ยวกับเรื่องราวความลับ ที่มีอยู่ในองค์พระเครื่อง หรือวัตถุมงคลต่างๆ ได้อย่างถูกต้องแล้วนั้น ท่านจะรู้ได้เองว่า " สิ่งไหนที่ท่านควรบูชาคุ้มครองตัว  และสิ่งไหนที่ท่านไม่ควรบูชา หรือพกพาติดตัวให้เสียเวลา "ได้อย่างแน่นอน นอกเสียจากว่าเราจะมององค์พระเครื่องหรือวัตถุมงคลต่างๆนั้น เป็นเพียงแค่สินค้าชิ้นหนึ่งเท่านั้นเอง.......

หมายเหตุ  การวิเคราะห์และตรวจสอบพลังงานแฝงของพระเครื่องหรือวัตถุมงคลต่างๆนั้น เป็นเรื่องของความเชื่อและความศรัทธาเฉพาะบุคคลหรือกลุ่มคนเท่านั้น ซึ่งในปัจจุบันนี้ ยังไม่มีหลักฐาน หรือเอกสารใดๆทางวิชาการมารองรับ ในการตรวจสอบแต่อย่างใด  โปรดใช้วิจารณญาน ในการศึกษาอย่างละเอียด เพื่อหลีกเลี่ยง ความขัดแย้ง ทางความคิดเห็น ในการศึกษา ของแต่ละท่านเอง...





คาถาในการบูชาพระพิฆเนศ 

"โอม ศรีคเนศายะ นะมะทะ" 

โดยจะสวด  3 จบ หรือ 9 จบก็ได้


"พระตรีมูรติ" นั้นเป็นถึงเทพเจ้าที่ ยิ่งใหญ่ที่สุด เพราะมีศักดิ์สูงสุดในศาสนาพราหมณ์
เนื่องจากเป็นการรวมกันของมหาเทพที่ยิ่งใหญ่ถึง 3 พระองค์ด้วยกัน คือ พระพรหม พระวิษณุ พระศิวะ
ลำพังมหาเทพทั้ง 3 นี้ แต่ละพระองค์ ก็ประทานพรแก่ผู้ทำความดีได้ ทุกประการ อยู่แล้ว
การที่ทั้ง 3 ท่านได้มารวมพระวรกายกันเป็นหนึ่งเดียว ก็ยิ่งมีอานุภาพประทานพรได้กว้างและลึกยิ่งขึ้น
ดังนั้น ผู้ที่เข้าใจผิดพากันกล่าวกันว่า "พระตรีมูรติ" เป็นเพียงเทพเจ้าผู้ประทานความสมหวังในด้าน "ความรัก" เท่านั้น
ถือเป็นการไม่ให้เกียรติ และเป็นการลบหลู่ ดูถูกเทวานุภาพของ "พระตรีมูรติ" เลยทีเดียว
แท้จริงแล้วพระองค์มีพลังมากมายกว่าที่หลายๆคนคาดคิด หากขอพรด้วยความตั้งมั่นและประพฤติตนเป็นคนดีแล้ว
พระตรีมูรติ ผู้ยิ่งใหญ่ สามารถให้พรผู้ศรัทธาได้มากกว่าที่จะคาดถึงได้

บทสวดบูชาพระตรีมูรติ

สาธุ สาธุ สาธุ อุกาสะ ข้าแต่องค์พระตรีมูรติที่ยิ่งใหญ่ข้าพเจ้า (ชื่อ-นามสกุล)

กราบเบื้องบาทแด่องค์ท่านแล้ว พระองค์เคยประทานพรแด่ทวยเทพทั้งหลาย

ผู้ปฏิบัติดี ผู้ปฏิบัติชอบทั้งหลาย บัดนี้ข้าพเจ้ามากราบเบื้องบาทแด่พระองค์ท่านแล้ว

จึงขอพระจากพระองค์ซึ่งประทานไว้ ณ บัดนี้ (...ขอพร...)

เตสัง อัมหากัง พรใดอันประเสริฐจงมาบังเกิดแด่ข้าพเจ้า

ตุมหากัง และจงบังเกิดแด่ผู้คุ้มครองข้าพเจ้า

ฑีฆายุกา มหาเดชา มหาปัญญา มหาโภคา มหายะสา มหาลาภา

ปัญจวีสติ ภยันจะ ทวัตติงสะ ฉันนะวุฒิติโรคัญจะ โสระสะ

อุบัติ อันตรายยัญจะ อัยยัญติกะ อันตรายยัญจะ พาหิระ อันตรายยัญจะ

วิระหิตะวา โหตุ ยาวะชีวัง พระวิสตีติ พระตรีมูรติ...





รวมสุดยอดมหามงคลในพระบารมีแห่งองค์
"พระมหากษัตริย์ไทย"

คาถาบูชาพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่๕

(ตั้งนะโม3จบ)

พระสยามมินโท วะโรอิติ พุทธะสังมิ อิติอะระหัง 
สะหัสสะกายัง วะรังพุทโธ นะโมพุทธายะ

(ว่า 3จบ)



เหรียญหนวด เหรียญหนึ่งบาท 
ช้างสามเศียร ร.ศ ๑๒๗
เหรียญช้างสามเศียร (ร.ศ ๑๒๗) เป็นเหรียญที่มีความสวยงามมาก เหรียญนี้เมื่อได้ตรวจสอบพลังงานของเหรียญอย่างละเอียดแล้ว เป็นที่หน้าอัศจรรย์ใจยิ่งนักเมื่อพบว่า นอกจากจะปรากฏฌานบารมีของ"องค์รัชกาลที่๕" แล้วยังพบว่า มีฌานบารมีของ"องค์หลวงปู่โต พรหมรังสี" ในเหรียญนี้ด้วย ซึ่งสันนิษฐานได้ว่าในอดีตนั้นองค์ครูบาอาจารย์ผู้ที่ท่านได้เมตตาปลุกเสกเหรียญนี้ ท่านได้ขออันเชิญพุทธบารมี"องค์หลวงปู่โต พรหมรังสี" และ "องค์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่๕" มาสถิตย์ปกปักษ์รักษาเหรียญนี้ด้วยอย่างแน่นอน ถือเป็นเหรียญที่มากล้นด้วยพุทธบารมีอันยิ่งใหญ่และศักดิ์สิทธิ์อย่างที่สุด อิทธิคุณครอบจักรวาลย์ สูงส่งในทุกๆด้าน เทียบได้กับพระสมเด็จทุกประการ ถือเป็นมิ่งมหามงคลอย่างหาที่สุดมิได้สำหรับผู้ครอบครองและบูชา












พระพิมพ์๒๕พุทธศตวรรษ เนื้อชินดีบุก
            "พระเครื่อง 25 พุทธศตวรรษ" เป็นสุดยอดพระเครื่องที่น่าหามาบูชาอย่างยิ่ง เนื่องด้วยพิธีที่ยิ่งใหญ่ เจตนาและวัตถุประสงค์ในการสร้างที่ดี รวมใว้ซึ่งสถาบันสำคัญของประเทศ คือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯเสด็จพระราชดำเนินทรงประกอบพิธีวางศิลาฤกษ์ สร้างพุทธมณฑลเมื่อวันที่ 28 กรกฏาคม พ.ศ. 2498 และเสด็จฯ ทรงประกอบพิธีเททองหล่อ"พระพุทธรูปจำลอง"  พระเครื่องฉลอง 25 พุทธศตวรรษ ถือได้ว่า เป็นพระเครื่องที่มีพิธีพุทธาภิเษกที่ยิ่งใหญ่มากรุ่นหนึ่งในวงการพระเครื่อง มีพระสงฆ์เจริญพระพุทธมนต์ 25 รูป พระคณาจารย์ปลุกเสกพุทธาคมครบ 108 รูป พระคณาจารย์ 108 รูป ซึ่งได้อาราธนามาจากจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศไทย พระคณาจารย์แต่ละรูปล้วนแล้วแต่มีชื่อเสียงทั้งสิ้น
พุทธบารมีของ"องค์พระ25พุทธศตวรรษ" คือ เมตตา แคล้วคลาด คงกระพันชาตรี มหาอุด โชคลาภ พลังงานสูงส่งเป็นอย่างมาก  





รวมสุดยอดพระสมเด็จในพระบารมี
แห่ง "องค์ สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต) พรหมรังสี"

   " บุญเราไม่เคยสร้าง ใครที่ไหนจะมาช่วยเจ้า "    ลูกเอ๋ย ก่อนจะเที่ยวไปขอบารมีหลวงพ่อองค์ใด เจ้าจะต้องมีทุนเดิมของตัวเองก่อน คือ บารมีของตนเอง เพื่อลงทุนไปก่อน เมื่อบารมีของเจ้าไม่พอ จึงค่อยขอยืมบารมีคนอื่นมาช่วยได้ มิฉะนั้นเจ้าจะเอาตัวไม่รอด เพราะหนี้สินในบุญบารมีที่เที่ยวไปขอยืมเขามา มากมายจนล้นพ้นตัวนั้น ครั้นเมื่อเจ้าทำบุญกุศลไว้ เขาก็มาทวงเอาบุญกุศลบารมีที่เจ้าเที่ยวไปขอยืมเขามาคืนไปจนหมด แล้วเจ้าจะเอาบุญบารมีจากไหนไปใช้ในภพหน้า จงหมั่นทำบุญทำกุศลสร้างบารมีไว้ แล้วฟ้าดินจะช่วยเจ้าเอง จงจำไว้นะเมื่อยังไม่ถึงเวลาของเจ้า เทพเจ้าองค์ใดก็ช่วยเจ้าไม่ได้ ครั้นถึงเวลาของเจ้าแล้วนั้น ทั่วฟ้าจบดินก็ต้านเจ้าไม่อยู่ จงอย่าไปเร่งเทวดาฟ้าดิน ในเมื่อบุญเราไม่เคยสร้างไว้ แล้วจะมีใครที่ไหนมาช่วยเจ้าได้..."   
 นี่คือเทศนาธรรมบทหนึ่ง ของ "องค์สมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต )พรหมรังสี" ที่มากด้วยความหมายและมีนัยแห่งความจริง ไม่ว่าจะอ่านกี่ครั้ง ฟังกี่หน ก็ลึกซึ้งกินใจ และช่วยเตือนใจได้ดียิ่งนัก...

พระสมเด็จที่องค์หลวงปู่โต พรหมรังสี ท่านได้เมตตาอธิษฐานจิตปลุกเสกไว้นั้น ล้วนแล้วแต่มีความเข้มขลังศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างยิ่ง อิทธิคุณครอบจักรวาลย์ สูงส่งในทุกๆด้าน อันได้แก่ เมตตามหานิยม แคล้วคลาด โชคลาภ คงกระพันชาตรี ป้องกันคุณไสย์ต่างๆ เสริมบารมีแก่ผู้ครอบครองบูชา หากแม้นใครได้บูชาแล้วจะช่วยเสริมความเป็นสิริมงคลแก่ชีวิตในทุกๆด้าน อยู่เย็นเป็นสุข  สุขภาพกายใจอุดมสมบูรณ์แข็งแรง  ถือเป็น "จักรพรรดิแห่งพระเครื่อง"ของดีมงคลสูงที่ควรค่าแก่การกราบไว้บูชาอย่างแท้จริง


รูปหล่อสมเด็จพระพุฒาจารย์(โต)พรหมรังสี 
วัดระฆังโฆษิตาราม ปี๒๔๙๓





พระสมเด็จวัดระฆังพิมพ์ใหญ่ "เนื้อขนมตุ๊บตั๊บ"
แก่มวลสาร  (องค์ครู)






 พระสมเด็จบางขุนพรหม กรุงเทพฯ
พล.อ.ประภาส จารุเสถียร ประธานในพิธีการเปิดกรุพระเจดีย์ใหญ่บางขุนพรหม


 เจ้าหน้าที่ได้ทำการเจาะสกัดองค์พระเจดีย์ใหญ่เพื่อเข้าสู่พื้นที่ด้านในของกรุ


เจ้าหน้าที่ได้นำองค์พระพิมพ์ที่ขุดได้ภายในกรุมาบรรจุในหีบไม้ทุกอง


องค์พระพิมพ์เกาะรวมตัวกันแน่นแยกไม่ออก ส่วนใหญ่ที่พบเป็นองค์พระที่อยู่บริเวณใต้ฐานองค์พระเจดีย์ใหญ่ เป็นบริเวณชั้นล่างของกรุ ซึ่งจะมีน้ำท่วมขังอยู่เสมอ และมีความชื้นสูงมากทำให้องค์พระซึ่งมีเนื้อหาแก่ปูนอยู่แล้ว เกาะกลุ่มรวมตัวกันเหนียวแน่นอย่างที่ปรากฏในภาพ



รายการพระพิมพ์ที่เปิดให้บูชาเมื่อปี พ.ศ 2500

องค์พระเจดีย์ใหญ่ในปัจจุบัน



พิมพ์เส้นด้ายแขนจุด






รวมสุดยอดพระกรุเนื้อดินแห่งสยาม

พระขุนแผนเคลือบ กรุวัดใหญ่ชัยมงคล อยุธยา
พระขุนแผนเคลือบ พระเครื่องอันเลื่องชื่อของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ราชธานีเก่าแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งได้รับการยกย่องให้เป็น เมืองพระ สืบเนื่องจากพระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ทรงเป็นพระอัครศาสนูปถัมภก มีการจัดสร้างทั้งศิลปะวัตถุ ตลอดจนพระเครื่อง พระบูชา กันอย่างมากมาย  โดยได้รับอิทธิพลจากหลายยุคมาผสมผสานกัน ที่เป็นศิลปะของอยุธยาเองก็มีไม่ใช่น้อย ก่อนที่จะถูกพม่ารุกรานและทำลายแทบสิ้น
มูลเหตุการสร้าง พระขุนแผนเคลือบ มาจากเมื่อคราวที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงกระทำสงครามยุทธหัตถีชนะพระมหาอุปราชา พอเสด็จกลับมายังพระนครจึงทรงโปรดให้สร้างพระมหาเจดีย์ใหญ่ขึ้นไว้เป็นพุทธบูชาและเป็นอนุสรณ์แห่งการสงครามในครั้งนี้ที่วัดป่าแก้ว หรือที่เรียกเป็นทางการว่าวัดใหญ่ชัยมงคล และในการสร้างพระมหาเจดีย์ที่วัดป่าแก้วนี้ สมเด็จพระพนรัต พระอาจารย์ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ซึ่งเป็นพระเถระชั้นผู้ใหญ่ฝ่ายอรัญวาสี ผู้ถือปฏิบัติทางวิปัสสนาธุระ เป็นผู้รจนาคัมภีร์มหาศาสตราคม อักขระเลขยันต์ ตลอดจนตำรับตำราการสร้างพระพุทธรูป และตำราการสร้างพระกริ่งซึ่งเป็นที่แพร่หลายมาจนถึงปัจจุบัน ท่านได้สร้างพระพิมพ์บรรจุไว้ในพระมหาเจดีย์หลายพิมพ์ทรง แต่ที่รู้จักกันเป็นอย่างดีและเป็นที่นิยมสะสมสูงในแวดวงนักนิยมสะสมพระเครื่อง เรียกได้ว่าเป็นพระเครื่องอันดับหนึ่งของจังหวัดเลยทีเดียวคือ พระขุนแผนเคลือบ ซึ่งนอกเหนือจากความทรงคุณค่าขององค์พระ ที่สร้างเพื่อเป็นพุทธบูชาในคราวที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงชนะสงครามยุทธหัตถี และปลุกเสกโดยสมเด็จพระพนรัต พระอาจารย์ของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช อันนับได้ว่าเป็นพระเครื่องที่ทรงพุทธคุณครบครัน เป็นที่ปรากฏทั้งเมตตามหานิยม แคล้วคลาด คงกระพันชาตรีแล้ว ทั้งเนื้อและพุทธลักษณะขององค์พระยังมีความงดงามอย่างไม่มีที่ติอีกด้วย
พระขุนแผนเคลือบ เป็นพระพิมพ์เนื้อดินละเอียด สีขาวนวล สันนิษฐานว่ากรรมวิธีการจัดสร้างตลอดจนขั้นตอนการเตรียมดิน ซึ่งแสดงให้เห็นพัฒนาการจากการทำเครื่องปั้นดินเผาของจีน เนื้อขององค์พระจึงละเอียดและขาวนวล นอกจากนั้น ยังมีการเคลือบด้วยน้ำยาเคลือบสีเหลืองทองหรืออมเขียวเล็กน้อย คล้ายกับการเคลือบโอ่งมังกรในสมัยก่อน ซึ่งเป็นการอนุรักษ์เนื้อพระได้เป็นอย่างดีแทนการลงรักปิดทอง พุทธลักษณะ เป็นพระพิมพ์ทรง 5 เหลี่ยม องค์พระประธานประทับนั่ง แสดงปางมารวิชัย มีซุ้มเรือนแก้วเป็นปริมณฑล ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลมาจากพระพุทธชินราช แห่งเมืองพิษณุโลก แบ่งออกได้เป็น 3พิมพ์ คือ พิมพ์อกใหญ่ ฐานสูง พิมพ์อกใหญ่ ฐานเตี้ย และพิมพ์อกเล็ก หรือที่เรียกว่าพิมพ์แขนอ่อน
พระขุนแผนเคลือบ วัดใหญ่ชัยมงคล ในความเป็นจริงนั้นตั้งแต่เมื่อครั้งในอดีตที่มีการลักลอบขุดหาสมบัติในองค์พระเจดีย์ใหญ่นั้น สันนิษฐานได้ว่าน่าจะมีพระขุนแผนหลุดออกมาด้วยเป็นจำนวนที่มากพอสมควรอย่างแน่นอน ซึ่งอาจจะมีการเก็บรักษาไว้ตามบ้านเรือนของชาวบ้านพื้นที่ใกล้เคียงนั้นๆก็เป็นได้ และในภายหลังได้ปรากฏพระขุนแผนเคลือบตามกรุอื่นๆ อาทิ กรุโรงเหล้า กรุวัดเชิงท่า และกรุบางใหญ่ ซึ่งมีพุทธลักษณะเหมือนกับพระขุนแผนเคลือบ วัดใหญ่ชัยมงคลทุกประการ จะต่างกันตรงความสวยงามสมบูรณ์  พระขุนแผนเคลือบกรุวัดใหญ่ชัยมงคล เป็นพระที่มีพลังอิทธิคุณสูงมากๆในทุกๆด้าน อันได้แก่ เมตตามหานิยม แคล้วคลาด คงกระพันชาตรี โชคลาภโภคทรัพย์ เสริมบารมีแก่ผู้ครอบครองบูชา เป็นสุดยอดพระขนานแท้




พระขุนแผนพรายคู่ พิมพ์อกครุฑ
 กรุวัดบ้านกร่าง สุพรรณบุรี





รวมสุดยอดพระกรุเนื้อชินแห่งสยาม

พระพุทธชินราชใบเสมา กรุวัดพระศรีฯ พิษณุโลก
สุดยอดพระกรุเนื้อชินอันดับหนึ่งแห่งเมืองพิษณุโลก "พระพุทธชินราชใบเสมา" เป็นสุดยอดปราถนาของบรรดาผู้ที่นิยมสะสมพระเครื่องของเมืองไทยอย่างที่สุด พระพุทธชินราชใบเสมา เป็นพระพุทธรูปจำลององค์เล็ก ซึ่งหมายถึงตัวแทนจากพระประธานองค์ใหญ่ แตกกรุจากวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ พิษณุโลก อันเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธชินราชองค์ประธานนั่นเอง เนื้อหาจะเป็นชินเงิน ออกคล้ำๆสนิมตีนกา แต่บางองค์ก็มีคราบปรอทปะปนบ้าง  มีสามพิมพ์คือ พิมพ์ใหญ่ พิมพ์กลาง พิมพ์เล็ก   และในแต่ละพิมพ์จะมีฐานเตี้ย และ ฐานสูง แยกออกไปอีก ศิลปะจะเป็นแบบอู่ทองหน้าแก่ อายุการสร้างประมาณ 700 ปีล่วงมาแล้ว   ศิลปะของพระพุทธชินราชนั้น ดูเผินๆ จะคล้ายๆพระตระกูลยอดขุนพลเช่นกัน โดยประทับนั่งในซุ้มเรือนแก้ว แม้จะเป็นฐานบัว ไม่ใช่ฐานบัวเล็บช้างก็ตาม  พระพุทธชินราชใบเสมาเป็นพระกรุเก่า และค้นพบครั้งแรกราวปี พ.ศ. 2440 ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ในพระปรางค์รัตนมหาธาตุ ซึ่งตั้งอยู่กลางลานวัดพระศรีรัตนมหาธาตุฯ ต่อมาภายหลังยังได้มีการค้นพบพระพุทธชินราชใบเสมา อีกหลายกรุ  เช่นพบที่กรุลั่นทม กรุต้นโพธิ์  กรุประตูชัย ซึ่งล้วนแล้วแต่เรียกได้ว่าเป็นกรุวัดพระศรีรัตนมหาธาตุ เพราะล้วนแล้วแต่พบในบริเวณอาณาเขตของวัดพระศรีรัตนมหาธาตุทั้งสิ้น
พระพุทธชินราชใบเสมา เป็นองค์พระที่มีพลังอิทธิคุณครบทุกด้านอันได้แก่  เมตตามหานิยม  แคล้วคลาด  โชคลาภโภคทรัพย์ คงกระพันชาตรี  มหาอุด มหาอำนาจบารมี พลังงานสูงส่งมากๆเข้มขลังทุกด้าน เป็นของดีมงคลสูงที่ควรค่าแก่การบูชาอย่างที่สุด

พระพุทธชินราชใบเสมา พิมพ์ใหญ่ฐานเตี้ย 





รวมสุดยอดพระเกจิคณาจารย์แห่งสยาม

หลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด 
วัดช้างให้ ปัตตานี



เหล็กไหลองค์หลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด(หน้าตัก๙นิ้ว)
คู่บารมี


"องค์หลวงปู่ทวด" 
เหล็กไหลเงินยวง 



พระหลวงปู่ทวด หลังเตารีดใหญ่ปี05(วัดช้างไห้)
พลังอิทธิคุณของรูปหล่อหลวงปู่ทวดได้แก่  เมตตามหานิยม  แคล้วคลาด  คงกระพันชาตรี   เป็นพลังงานที่สูงส่งมากๆ ฌานบารมีองค์หลวงปู่ทวดอย่างแท้จริง




หลวงปู่เอี่ยม ปฐมนาม 
วัดสะพานสูง


ตะกรุดโทนโสฬสมหามงคล(พอกคลั่ง)
(คู่บารมี)
 ตะกรุดมหามงคลโสฬส หลวงปู่เอี่ยม ปฐมนาม แห่งวัดสะพานสุง ท่านได้สร้างและปลุกเสกขึ้นมาด้วยอำนาจกฤตยะและพลังจิตพิเศษ ผ่านเหล็กปลายแหลมจาร ถ่ายทอดลงสู่แผ่นโลหะในรูปแบบเลขยันต์อักขระเลขาจารึก แห่ง“สูตรมหาโสฬสมงคลและพระไตรสรณคมน์ ” ล้อมรอบด้วย “ บารมี 30 ทัศน์ ” อันพิเศษสุด พร้อมด้วย “ มนต์ปัสสาสะปราณชีพ ” อันเคร่งฉมังของท่าน หลวงปู่เอี่ยมท่านทำการปลุกเสกองค์เดียว “ โองการมหาทะมึน ” จนครบ 10,000 จบ เป็นเวลาถึง 3 ปี (3 พรรษา) ลักษณะตะกรุดของท่านหัวท้ายจะโผล่ หรือตูดแมลงสาบ ตัดมุม มีเนื้อเงิน เป็นของพวกคหบดีโบราณนำมาให้ท่านลง ท่านมิได้สร้างเอง มีจำนวนน้อยมาก และเนื้อตะกั่วถ้ำชา ความยาวประมาณ 4.5 นิ้ว สร้างในยุคต้น เพื่อหาทุนสร้างศาลาการเปรียญ และเนื้อทองแดง ความยาวตั้งแต่ 2.5 นิ้ว , 3.5 นิ้ว ,และ 4.5 นิ้ว ตะกรุดของท่านนับเป็นจักรพรรดิ์แห่งตะกรุดทั้งปวง ในบรรดาเครื่องรางของประเทศไทย ตะกรุดนี้ทำจากแผ่นทองแดง นำมาลงอักขระ ลงยันต์ โสฬสมงคลด้านหนึ่ง อีกด้านหนึ่งลงยันต์ไตรสรณคม แล้วจึงปลุกเสกโดยหลวงปู่เอี่ยม 3 ไตรมาส เมื่อม้วนตัวตะกรุดแล้วจึงถักเชือก จากนั้นจึงโรยผงมหาโสฬสมงคล ซึ่งเป็นผงชนิดเดียวกับที่ทำพระปิดตา สุดท้ายจึงนำมาลงรักปิดทับ หลวงปู่ท่านได้บอกกับลูกศิษย์ใกล้ชิดไว้ว่า "ตะกรุดของท่านนั้นมีพุทธานุภาพ 1 กันฟ้าผ่า  2 กันจระเข้  3 กันมาหิสา(ควายป่าและสัตว์ทั้งหลายที่อยู่ในป่า) 4 กันสัตราวุทหรือของมีคมทั้งหลาย 5 กันภูตผีปีสาจทั้งหลาย และมีเมตามหานิยม จะเห็นว่าไม่มีอิทธิวัตถุมงคลของสำนักใด ที่จะตั้งใจปลุกเสกอย่างลึกล้ำเข้มขลังเช่นสำนักนี้เลย " ตะกรุดหลวงปู่เอี่ยม นับเป็นจักรพรรดิ์แห่งตะกรุดทั้งปวงในบรรดาเครื่องรางของประเทศ และหาดูหาเช่าได้ยากที่สุด ยิ่งกว่าการงมเข็มในมหาสมุทร ผู้ใดที่มีไว้ครอบครอง ถือเป็นมิ่งมหามงคลสูงสุดแล้วในชีวิต                  พลังอิทธิคุณแห่งองค์ตะกรุดโสฬสได้แก่  เมตตามหานิยม  แคล้วคลาด  โชคลาภ  คงกระพันชาตรี  มหาอุด  กันสัตว์ป่าทุกชนิด กันคุณไสย์ทุกประการ กันภูตผีวิญญานทุกชนิด  เข้มขลังศักดิ์สิทธิ์อย่างที่สุด 





หลวงพ่อปาน โสนันโท วัดบางนมโค อยุธยา






พระหลวงพ่อปานพิมพ์ทรงครุฑผีเสื้อ
 วัดคู้สลอด(ไม่ลงกรุ)
ต้นกำเนิดพระหลวงพ่อปานวัดคู้สลอด
พระอาจารย์พงษ์อดีตเจ้าอาวาสวัดคู้สลอด จ.พระนครศรีอยุธยา เดิมอยู่วัดบางนมโค เป็นศิษย์ของหลวงพ่อปาน โสนันโท ต่อมาหลวงพ่อปานได้ให้ไปดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดคู้สลอดที่ว่างลงในขณะนั้น พระอาจารย์พงษ์ได้มาดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดคู้สลอดแล้วเห็นว่า เสนาสนะภายในวัดชำรุดทรุดโทรมสมควรแก่เวลาจะต้องบูรณะแต่ขาดกำลังทรัพย์ จึงได้สร้างพระขึ้นด้วยผงวิเศษที่ท่านได้รวบรวมมาผสมกับน้ำมันลินสีดทำให้พระหนึกนุ่มไปด้วยน้ำมัน เมื่อกดพิมพ์พระได้จำนวนพอสมควรแล้วจึงนิมนต์ หลวงพ่อปาน โสนันโท มาช่วยปลุกเสก หลวงพ่อปานก็เมตตาปลุกเสกให้ แต่ศิษย์ส่วนใหญ่ของหลวงพ่อปานกลับมองเห็นว่า พระอาจารย์พงษ์นั้นสร้างพระเลียนแบบหลวงพ่อปาน เพราะได้ใช้แม่พิมพ์แบบพระประทับนั่งบนสัตว์พาหนะคล้ายกับหลวงพ่อปานที่เป็นเนื้อดิน จึงกล่าวหาว่าวัดรอยเท้าพระอาจารย์ คงมีเพียงพิมพ์พระสมเด็จและพิมพ์จันทร์ลอยเท่านั้นที่แปลกแยกออกมาเป็นเอกลักษณ์
พระชุดนี้ได้นำออกให้บูชาหาเงินมาสร้างเสนาสนะและเจดีย์ที่ชำรุดทรุดโทรม ครั้นหมดความจำเป็นในการสร้างแล้ว พระที่เหลือพระอาจารย์พงษ์ได้นำลงบรรจุกรุในเจดีย์ใหญ่ทั้งหมด พระอาจารย์พงษ์ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสอยู่ระยะหนึ่งก็ลาสิกขามาใช้ชีวิตแบบฆราวาสมีครอบครัว แต่ชาวบ้านก็ยังคงเรียกว่าอาจารย์พงษ์ตลอดมาจนถึงแก่กรรม
พระวัดคู้สลอดนี้หากเป็นพระที่แจกในระหว่างที่อาจารย์พงษ์ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสจะเป็นเนื้อปูนน้ำมันสีเหลืองอมเขียวหรือสีเหลืองอมน้ำตาล แต่หากเป็นพระที่ออกจากกรุจะมีคราบฟองเต้าหู้จับหนาสลับกับคราบขี้มอด








พระผงของขวัญวัดปากน้ำ

ประวัติพระของขวัญ
          พระของขวัญวัดปากน้ำ เป็นพระผงองค์เล็กๆ ที่หลวงพ่อพระมงคลเทพมุนีได้สร้างขึ้น มีทั้งหมด 3 รุ่น ด้วยกัน คือ รุ่น 1 รุ่น 2 และรุ่น 3   พระของขวัญแต่ละรุ่นที่ท่านสร้างขึ้นนี้ท่านมิได้ปลุกเสกด้วยคาถาใดๆ   เหมือนคณาจารย์อื่นๆ แต่ท่านกระทำให้สำเร็จขึ้นมาด้วยวิธีทำสมาธิภาวนา ตามหลักวิชาธรรมกายของท่าน พระของขวัญที่หลวงพ่อพระมงคลเทพมุนีได้สร้างขึ้นนี้ จึงคงความศักดิ์สิทธิ์ มีคุณานุภาพเป็นที่ประจักษ์แก่ชนโดยทั่วไป การที่หลวงพ่อท่านได้สร้างพระของขวัญขึ้นนี้ ก็เพื่อจะมอบให้เป็นของขวัญแก่ผู้ที่มาทำบุญเพื่อสมทบทุนในการก่อสร้างโรงเรียนพระประยัติธรรม
พระของขวัญ รุ่น 1
          พระของขวัญ รุ่น 1 นี้ สร้างขึ้นเมื่อ ปี พ.ศ. 2493 จำนวน 84,000 องค์ ซึ่งเท่ากับจำนวนพระธรรมขันธ์   โดยที่หลวงพ่อได้ปรารถว่าต้องการที่จะรวบรวมจตุปัจจัยที่ได้ในการนี้ นำมาเพื่อสร้างโรงเรียนพระปริยัติธรรม โดยได้ริเริ่มพิมพ์ขึ้นเมื่อประมาณกลางเดือน 7   ก่อนเข้าพรรษาหนึ่งเดือน   เมื่อพิมพ์เสร็จแล้วก็ได้เริ่มทำพิธีบรรจุพุทธานุภาพตามหลักวิชาธรรมกายด้วยตัวของท่านเองตลอดพรรษา คือในวันแรม 1 ค่ำ เดือน 8 ไปจนถึงขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 รวมสามเดือน และได้เริ่มแจกในวันแรม 6ค่ำ เดิอน 11 ปีเดียวกัน ในอภิรักขิตสมัยคล้ายวันเกิดของท่าน ณ อุโบสถ วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ หลวงพ่อได้ทำการแจกเรื่อยมา จนกระทั่งหมดลง เมื่อปี พ.ศ. 2497
แม่พิมพ์ รุ่น 1
          พระของขวัญ รุ่น 1 นี้ มีแม่พิมพ์ทั้งหมด 10 แม่พิมพ์ เป็นแม่พิมพ์ที่ทำขึ้นจากทองเหลือง แม่พิมพ์ทองเหลืองนี้ หลวงภูมินาถสนิท (สืบ ดังคะรัตน์)ให้ช่างแกะนำมาถวายหลวงพ่อ เป็นแม่พิมพ์สี่เหลี่ยม ลักษณะขององค์พระทั้ง 10 พิมพ์ จะเหมือนๆ หรือคล้ายๆ กัน แต่จะแตกต่างกันในด้านรายละเอียดของใบหน้า การทอดแขน การวางมือ และส่วนต่างๆ ขององค์พระ 
ส่วนผสมพระรุ่น 1
          พระของขวัญรุ่นที่ 1 นี้ มีส่วนผสมหลายอย่าง ส่วนใหญ่จะเป็นดอกมะลิแห้งซึ่งบดละเอียดดีแล้ว เส้นเกศาของหลวงพ่อ และผงวิเศษที่หลวงพ่อทำขึ้นอีกส่วนหนึ่ง นอกจากนี้ยังมีส่วนผสมอื่นๆ อีกตามส่วน โดยได้นำเอาส่วนผสมต่างๆ มาโขลกตำจนละเอียดเข้ากันดีแล้วจึงได้นำมาพิมพ์ แม้ในรุ่น 2 และรุ่น 3 ก็ใช้กรรมวิธีเดียวกัน
เนื้อพระรุ่น   1
          พระของขวัญวัดปากน้ำรุ่น 1 นี้ มีทั้งชนิดที่เคลือบทาเชลแล็ก และทั้งชนิดที่ไม่ได้เคลือบทา ส่วนมากจะไม่ได้เคลือบทาไว้ และพระที่เคลือบทาเชลแล็กในรุ่นนี้ ถึงจะมีบ้างก็ส่วนน้อยเท่านั้น สีเนื้อพระโดยทั่วไปจะเป็นสีขาวบ้าง สีนวลบ้าง สีขาวอมเหลืองบ้าง และที่เป็นสีคล้ายสีน้ำตาลเข้มหรืออ่อนๆ ก็มีเหมือนกัน
          เนื้อพระส่วนใหญ่ จะฟูยุ่ย ไม่ค่อยแน่นคงทน แต่พระรุ่น 1 ชนิดที่เนื้อแข็งแน่นก็มีด้วยเช่นกัน


พระของขวัญ รุ่น 2
          พระของขวัญรุ่น 2 นี้   สร้างขึ้นเมื่อ ปี พ.ศ. 2494 หลังจากที่สร้างพระของขวัญรุ่น 1 ได้เพียงปีเดียว คือ รุ่น 1 สร้างขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2493 รุ่น 2 สร้างขึ้นต่อมาในปี พ.ศ. 2494 จำนวนที่สร้าง 84,000 องค์     สร้างไว้แล้วหลวงพ่อก็ได้ทำพิธีปลุกเสกเรื่อยมาตามหลักวิชาธรรมกายและมาเริ่มแจกในปี พ.ศ. 2497 และได้หมดลงในปี พ.ศ. 2505 คือภายหลังจากที่หลวงพ่อได้มรณภาพแล้ว จึงได้หมดลง 
ใช้แม่พิมพ์รุ่น 1 ทั้ง 10 พิมพ์   ส่วนผสมก็มีดอกไม้ต่างๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพวกดอกมะลิ เส้นเกศาของหลวงพ่อ ผงวิเศษของหลวงพ่อที่ทำขึ้นอีกส่วนหนึ่ง   ซึ่งกรรมวิธีและส่วนผสมอย่างเดียวกันกับรุ่น 1 นั้นเอง เนื้อของพระรุ่น 2 นี้ก็ไม่แตกต่างจากรุ่น 1 มีความใกล้เคียงกัน คือเนื้อจะไม่แน่น ฟูยุ่ยพอๆ กัน   ดังนั้นในรุ่น 2 นี้ ทางวัดได้เคลือบทาเชลแล็กไว้ทั้งหมด เพื่อรักษาเนื้อพระไว้ให้คงทน ส่วนพิมพ์ต่างๆ ของพระรุ่น 2 ทั้ง 10 พิมพ์นั้นจะไม่นำลงมากล่าวไว้ในที่นี้อีก เพราะใช้แม่พิมพ์เดียวกับพระรุ่น 1 ซึ่งเหมือนกับพระรุ่น 1 ทุกประการ
พระรุ่นตกค้าง
  พระรุ่นตกค้าง ก็คือพระรุ่น 1 และรุ่น 2 ที่เรียกว่าตกค้างก็เพราะว่าเหลือ   หรือตกค้างอยู่มิได้นำออกมาแจก หลังจากที่หลวงพ่อได้มรณภาพแล้วจึงได้นำออกมาแจกในภายหลัง เรื่องก็มีอยู่ว่าพระรุ่นตกค้างนี้เป็นพระที่มีพิมพ์ไม่สมบูรณ์ ไม่สวยงาม พิมพ์จะตื้น หรืออาจบิดเบี้ยวบ้าง   ในการแจกพระของขวัญนั้น หลวงพ่อมิได้แจกพระที่ชำรุดเหล่านี้ออกไป   ท่านสั่งให้คัดพระเหล่านี้ออกเสียแล้วเก็บไว้เป็นส่วนหนึ่งต่างหาก มิได้นำไปแจกแก่ประชาชนเพราะเป็นพระที่ไม่สวยงาม ภายหลังจากที่หลวงพ่อได้มรณภาพแล้ว จึงได้นำพระจำนวนดังกล่าวออกมาจ่ายแจก คนทั่วไปจึงนิยมเรียกกันต่อมาว่า “รุ่นตกค้าง” และพระรุ่นตกค้างหล่านี้ก็ได้ผ่านการปลุกเสกตามหลักวิชาธรรมกายมาแล้วโดยสมบูรณ์ทุกประการ
พระผงของขวัญวัดปากน้ำ
"รุ่นตกค้าง"





หลวงปู่ทิม อิสริโก 
วัดละหารไร่ ระยอง
พระครูภาวนาภิรัต หรือที่รู้จักกันในนาม "หลวงปู่ทิม อิสริโก" อดีตเจ้าอาวาสวัดละหารไร่ จ.ระยอง ได้สร้างพระเครื่องและวัตถุมงคลไว้หลายรุ่น หลายพิมพ์ แต่พระเครื่องของหลวงปู่ทิมที่ได้รับความนิยมมากที่สุดได้แก่ พระขุนแผนผงพรายกุมาร พระชุดชินบัญชร เหรียญเจริญพร รวมไปถึงวัตถุมงคลรุ่น ๘ รอบ เป็นต้น  ซึ่งวัตถุมงคลของท่านทุกอย่างนั้น ล้วนแล้วแต่มีพุทธานุภาพที่เข้มขลังศักดิ์สิทย์อย่างที่สุด ถือได้ว่าเป็นสุดยอดพระเกจิแห่งยุคหลังปีพุทธศักราช ๒๕00 อย่างแท้จริง  
บทสวดบูชา หลวงปู่ทิม อิสริโก

( นะโม3จบ )

อิติสุคะโต อะระหังพุทโธ นะโมพุทธายะ 

มะอะอุ ทุกขัง อนิจจัง อะนัตตา พุทโธ พุทโธ    

( ว่า3จบ )





พระขุนแผนพรายกุมารพิมพ์ใหญ่
(คู่บารมี)




พระกริ่งชินบัญชร ก้นอุดผงพรายกุมาร 
(เบอร์ ๒๗)
พระกริ่งชินบัญชร ก้นอุดผงพรายกุมาร องค์นี้ตอกหมายเลขเบอร์ "๒๗" มีความสวยงามสมบูรณ์มาก ถือเป็นสุดยอดของพระกริ่งในพระบารมีแห่งองค์ "หลวงปู่ทิม อิสริโก" ที่ทรงคุณค่าทั้งทางรูปและทางนาม เป็นของดีมงคลสูงสุดของผู้ครอบครองและบูชา



เหรียญเจริญพรล่าง เนื้อทองแดงรมดำมันปู





หลวงพ่อพรหม ถาวโร 
วัดช่องแค นครสวรรค์

เหรียญสรงน้ำ
(เนื้อทองระฆังผสมทองเหลือง กะไหล่ทอง)





หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ 
วัดสะแก อยุธยา

เหรียญเปิดโลก เนื้อตะกั่ว 
(บล๊อคตัวหนังสือหน้า)ปี๒๕๓๒ 
"เหรียญรุ่นเปิดโลก" หลวงปู่ดู่ท่านได้กำหนดวันประกอบพิธีอธิษฐานจิต ในวันที่ท่านเรียกว่า "วันธงชัย" ซึ่งตรงกับวันอังคารที่ 29 สิงหาคม 2532 เวลา 2 ทุ่ม ซึ่งเหรียญรุ่นเปิดโลกนี้ เป็นเหรียญที่ "หลวงพ่อเกษม เขมโก" แห่งสุสานไตรลักษณ์ ยังเคยกล่าวกับโยมว่า "เคยได้ยินเหรียญเปิดโลกไหม ให้ไปหามาบูชา เหรียญนี้ดี..."
เหตุการณ์ในวันพิธีอธิษฐานจิต (อังคารที่ ๒๙ สิงหาคม ๒๕๓๒) ลูกศิษย์ใกล้ชิดของหลวงปู่ ได้เล่าเอาไว้ว่า บ่ายเย็นวันนั้นฝนตกลงมาอย่างหนัก ขณะที่ข้าพเจ้าพร้อมด้วยน้องชายของคุณวรวิทย์เร่งขับรถฝ่าพายุฝน เพื่อจะนำวัตถุมงคลที่เหลือ (ส่วนมากเป็นพระเนื้อผง) ไปที่กุฏิของหลวงปู่ดู่ให้ทันพิธี แต่พอมาถึงวัด ฝนก็หยุดตก ท้องฟ้าแจ่มใสมาก ราวกับว่าได้ปัดเป่าสิ่งสกปรกออกไปจนหมดสิ้น พอใกล้เวลา ๒ ทุ่ม ก็ปรากฏว่ามีผู้คนมาร่วมพิธีกันจนเต็มตลอดพื้นที่หน้ากุฏิหลวงปู่ หลายคนได้นำวัตถุมงคลส่วนตัวมาร่วมพิธีด้วยเป็นจำนวนมาก คุณวรวิทย์ได้เปิดกล่องพร้อมนำตัวอย่างวัตถุมงคล ที่จัดทำแต่ละชนิดออกให้หลวงปู่ได้ชม ทั้งเนื้อทองคำ เงิน ทองแดง ตะกั่ว พระผง โปสเตอร์ และลูกแก้ว พอถึงเวลา ๒ ทุ่ม หลวงปู่เริ่มอธิษฐานจิต อัญเชิญบารมีพระพุทธเจ้าทั้งแสนโกฏจักรวาล รวมทั้งบารมีครูบาอาจารย์และสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายมาประดิษฐานที่วัตถุมงคล และหลวงปู่ได้ตั้งจิตอธิษฐานให้สว่างไปทั้งสามโลก คือ พรหมโลก เทวโลก และมนุษยโลก สักครู่หนึ่ง หลวงปู่ลืมตาขึ้น ยกมือข้างขวาขึ้นลูบพระที่อยู่เบื้องหน้า สุดท้ายท่านก็กล่าวขอให้หลวงปู่ทวดและเทวดา ปกปักรักษาวัตถุมงคลนี้ตลอดไป ให้ปิดกั้นภัยอันตรายทุกอย่าง จากนั้นท่านก็ให้ผู้ที่มาร่วมงานตั้งจิตอุทิศผลบุญไปทั่วโดยรอบสุดขอบ จักรวาล อนันตจักรวาล เช้าวันรุ่งขึ้น ได้มีลูกศิษย์หลวงปู่ที่เป็นนักปฏิบัติบางคน ซึ่งไม่ได้มาร่วมงาน ได้กราบเรียนหลวงปู่ว่า เมื่อคืนไม่รู้ที่วัดสะแกมีอะไร กำหนดจิตดูเห็นหลวงปู่ทวดลอยอยู่เต็มท้องฟ้าวัดสะแก หลวงปู่ก็บอกกับผู้นั้น รวมทั้งลูกศิษย์คนอื่นๆ ณ ที่นั้นว่า “เมื่อคืนข้าเสกให้แบบเปิดสามโลกเลยนะ” นี่เอง น่าจะเป็นที่มาของการพูดปากต่อปากกระทั่งกลายมาเป็นชื่อรุ่นว่า “รุ่นเปิดสามโลก” หรือเรียกสั้น ๆ ว่า “รุ่นเปิดโลก”
พุทธคุณของเหรียญเปิดโลกรุ่นนี้ "ครอบจักรวาลย์" มีครบในทุกๆด้านเข้มขลังศักดิ์สิทธิ์อย่างที่สุด





หลวงพ่อฤาษีลิงดำ พระราชพรหมยาน 
วัดท่าซุง อ.เมือง จ.อุทัยธานี


สมเด็จองค์ปฐม
"สมเด็จพระพุทธสิกขีที่๑" 

ประวัติ สมเด็จองค์ปฐม บันทึตามที่รับทราบจากหนังสือหลวงพ่อตอบปัญหา 
หลวงพ่อได้บอกกล่าวไว้

   " ท่านสาธุชนทั้งหลาย ตอนนี้ก็มาพูดกันถึงเรื่อง สมเด็จองค์ปฐม สำหรับคำว่า “สมเด็จองค์ปฐม” ก็คือพระพุทธเจ้าองค์แรกหรือองค์ที่ ๑ เรียกว่า “องค์ปฐม” ขอเล่าย้อนตอนหลังสักนิด คือเมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๕๑๑ ตอนนั้นอาตมา..มาอยู่ที่วัดท่าซุงแล้วและ พล.อ.อ.อาทร โรจนวิภาต เวลานั้นเป็นนาวาอากาศเอก เป็นผู้บังคับกองฝึกโรงเรียนการบิน ที่นครราชสีมา ทราบว่าอาตมาป่วย จึงนิมนต์ไปพักที่นั้น ตอนกลางคืน สามีภรรยาก็นั่งเจริญพระกรรมฐาน อาตมาเป็นคนแนะนำ ขณะที่แนะนำเขาอยู่ เมื่อเสร็จแล้วก็ทำสมาธิ ขณะที่ทำสมาธิ บรรดาท่านพุทธบริษัท สิ่งที่คาดไม่ถึงก็ปรากฏขึ้น นั่นคือเห็นเป็นพระพุทธเจ้าในปางนิพพานยืนสองแถวยาวเหยียดไปข้างหน้า แล้วก็พนมมือ จึงมีความรู้สึกในใจว่า บางที่อาจเป็นอุปทานของเรา เพราะว่าพระพุทธเจ้าไม่เคยก้มศีรษะให้ใคร แม้แต่บ้านเรือนเล็กๆที่หลังคาต่ำๆ ที่พระพุทธเจ้าเข้าไป หลังคา ก็สูงขึ้น แต่เวลานี้เราเห็นพระพุทธเจ้ายืนพนมมือ อุปาทานคือกิเลสคงกินใจมาก เมื่อนึกเพียงเท่านี้ ก็เห็นภาพ หลวงพ่อปาน ปรากฏขึ้นข้างๆ ท่านบอกว่า “คุณ..ไม่ใช่อุปาทาน ประเดี๋ยวพระพุทธเจ้าองค์ปฐมจะเสด็จมา” อีกประมาณสัก ๕ นาที ปรากฏว่ามีพระพุทธเจ้าองค์หนึ่ง รูปร่างใหญ่โตมาก สูงมาก มาในรูปของปางนิพพาน เดินมาระหว่างช่องกลาง พระพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ก้มศรีษะแสดงความเคารพ เพราะพนมมืออยู่แล้ว พอท่านเดินมาถึงอาตมา ท่านก็พูดว่า “ข้าจะนั่งที่ไหนหว่า...ในเมื่อไม่มีที่นั่ง ข้าเอาหัวแกเป็นแท่นก็แล้วกัน” ก็เลยนั่งบนหัว แล้วก็บอกว่า “นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ก่อนที่แกจะสอนกรรมฐานก็ดี จะพูดธรรมะก็ดี จะเทศน์ก็ดี บอกฉันก่อน ฉันให้พูด ตอนไหนจะเทศน์ตอนไหน ให้ว่าตามนั้น” ก็เป็นความจริงบรรดาท่านพุทธบริษัท เวลาสอนกรรมฐานก็ดี เทศน์ก็ดี บางที่คิดว่าวันนี้ จะพูดเรื่องอย่างนี้ แต่พอพูดเข้าจริงๆ เรื่องนั้นไม่ได้พูด ไปพูดอีกจุดหนึ่ง อันนี้เป็นลีลาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ การเทศน์ของพระพุทธเจ้ามุ่งเฉพาะบุคคลสำคัญคนใดคนหนึ่ง ไม่ได้หวังคนทั่วไป คนจะนั่งสักหนึ่งพัน สองพัน ห้าพันก็ตาม ท่านจะดูจิตใจว่า บุคคลใดจะรับคำเทศนาของท่านได้ จะสามารถบรรลุมรรคผลได้ ท่านจะจี้จุดเฉพาะคนนั้น เอาจุดเด่น แต่ว่าคนที่มีความดี ใกล้เคียงกัน ก็พลอยบรรลุมรรคผลไปตามๆกัน 
"หลวงพ่อเคยเล่าให้ฟังว่า สมเด็จองค์ปฐมทรงพระนามว่า “สมเด็จพระพุทธสิกขี” แต่พระพุทธเจ้าที่ตรัสรู้ผ่านไปแล้ว อาจจะมีชื่อซ้ำกันก็ได้ โดยเฉพาะ ชื่อนี้มีด้วยกันถึง ๕ พระองค์ จึงเรียกขานกันว่าเป็น “สมเด็จพระพุทธสิกขีที่ ๑” พระองค์จึงทรงเป็นต้นพระวงศ์ ของ สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ จึงสมควรยกย่องพระองค์ว่าทรงเป็น “สมเด็จองค์ปฐมบรมครู" อย่างแท้จริง
    ครั้งหนึ่ง พระพุทธองค์เสด็จมาเล่าให้หลวงพ่อฟังที่บ้านสายลมว่า สมัยที่พระองค์ทรงอุบัติในโลกมนุษย์ ในเวลานั้นคนมีอายุขัย ประมาณ แปดหมื่นปี พระองค์เสด็จออกมหาภิเนษกรมณ์เมื่อพระชนมายุได้ ๔ หมื่นปีหลังจากทรงผนวชแล้วเป็นเวลาอีก ๒ หมื่นปี จึงได้ ทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ ตรัสรู้เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระองค์แรกของโลก พระองค์ทรงสั่งสอนเวไนยสัตว์อีกประมาณ ๒ หมื่นปี จึงเสด็จดับขันธปรินิพพาน หลังจากทรงใช้เวลาอันยาวนานถึง ๔๐ อสงไขยกัป ในการบำเพ็ญพระบารมี เพื่อแสวงหาพระโพธิญาณด้วยพระองค์เอง







สมเด็จองค์ปฐม รุ่น๑ วัดโขงขาว 
(กะไหล่ทอง)

สมเด็จ องค์ปฐม รุ่น 1 วัดโขงขาว หลวงพ่อฤาษีลิงดำ ครูบาชัยวงศา อธิษฐานจิต พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง พุทธาภิเษกพร้อมพิธีบวง สรวง ที่วัดโขงขาว ๓ ปี ตั้งแต่ ๒๕๓๒ - ๒๕๓๔ ตอนทอดกฐินที่วัด เดิมที ทางหลวงพ่อบุญรัตน์สร้างพระขึ้นมาโดยคิดว่าให้เป็นรูปพระ พุทธชินราช ไม่ได้คิดว่าจะเป็นสมเด็จองค์ปฐม พอกราบเรียนให้หลวง พ่อพระราชพรหมยานท่านอธิษฐานจิต ท่านก็ถามว่า อะไรอยู่ในกล่อง ลองเอามาให้ดูหน่อยสิ เมื่อหลวงพ่อบุญรัตน์มาหยิบไปให้ท่านดู ท่านก็ ปรารภว่า นี่ไม่ใช่พระพุทธชินราชนะ นี่คือสมเด็จองค์ปฐม จากนั้นท่านก็อธิษฐานจิตให้ และก็ อธิษฐานให้อีก 2 วาระ ในปี 2533 2534 คราวนำกฐินมาทอดที่วัดโขงขาว เท่ากับว่ารุ่นนี้เป็นสมเด็จองค์ ปฐมรุ่นแรก พุทธาภิเษก 3 ครั้ง คือ ปี 2532 ,2533 ,2534 และสร้างก่อนรุ่น 1 วัดท่าซุง ด้วย





สมเด็จองค์ปฐม รุ่น๑ วัดศาลพันท้ายนรสิงห์
(กะไหล่เงิน)

สมเด็จองค์ปฐมรุ่นแรก วัดศาลพันท้ายนรสิงห์ ปี ๒๕๓๕ สร้างจากชนวนทองคำ (จำนวน 3 แท่ง) ที่หลวงพ่อฤาษีลิงดำได้ปลุกเสกให้ ก่อนมอบแท่งทองให้หลวงตาชลอ เพื่อนำไปสร้างพระเครื่องเป็นทุนสร้างวัด
จำนวนสร้าง
- กะไหล่ทองและกะไหล่เงิน จำนวน 4,500 องค์
- เนื้อเงิน 500 องค์รวมทั้งหมด 5,000 องค์
ว่ากันว่า ในทุกๆองค์ สมเด็จองค์ปฐม วัดพันท้ายนรสิงห์รุ่นนี้มีทองคำผสมอยู่มากพอสมควรสำหรับสมเด็จองค์ปฐมรุ่นแรก วัดศาลพันท้ายนรสิงห์
ด้านหน้า มีลักษณะคล้ายกับสมเด็จองค์ปฐมของวัดท่าซุง
ด้านหลัง ตรงฐาน มีคำว่า "สมเด็จองค์ปฐมวัดพันท้ายนรสิงห์"
ใต้ฐานอุดกริ่ง ตัว "อุ"
หลวงพ่อฤาษีลิงดำได้มอบแท่งทองชนวนที่เหลือจากการสร้างสมเด็จองค์ปฐมองค์ใหญ่ที่ วัดท่าซุง (สมเด็จองค์ปฐมองค์ต้นวัดท่าซุงมีสัดส่วนทองคำอยู่เยอะมากถึง ๗๘ กก.แต่มีคนบริจาคเงินร่วมสร้างถึง ๑๕,๓๗๑,๔๘๒ บาท แต่สร้างจริงๆ ประมาณเกือบ ๓ ล้านบาท คือ ๒,๘๘๐,๐๓๐ บาท แสดงว่าท่านลาภมากจริงๆ ส่วนที่เหลือก็สร้างองค์ปฐมปางพระนิพพาน และอะไรต่างๆ เกี่ยวกับองค์ปฐม รวมพระศรีอาริยด้วย) หลวงพ่อฤาษีลิงดำปลุกเสกให้อีกครั้งก่อนมอบแท่งทองให้หลวงตาชลอ เพื่อนำไปสร้างพระเครื่องเป็นทุนสร้างวัดศาลพันท้ายนรสิงห์ ดังนั้นพระสมเด็จองค์ปฐมรุ่นนี้จะเข้าพิธีพร้อมรุ่นหนึ่งวัดท่าซุงหรือไม่ จึงไม่มีผลต่ออานุภาพ เพราะแท่งทอง ๓ แท่ง ก่อนมอบให้หลวงตาชลอ ทราบว่าหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ท่านเข้าสมาบัติลึกมากและนานมากเพื่อปลุกเสกอีกครั้ง
ผู้ที่บูชาสมเด็จองค์ปฐม ไว้ครอบครอง ไม่ว่ามนุษย์ก็ดี , อมนุษย์ก็ดี , สัตว์มีพิษร้ายก็ดี , ภูติผีปีศาจร้ายก็ดี ถ้าคิดจะทำร้ายเรา จะ รุ่มร้อนจนทนไม่ได้ ต้องล่าถอยไปในที่สุด

จุดสังเกตุความแตกต่าง ระหว่าง สมเด็จองค์ปฐม รุ่น 1 ของวัดศาลพันธท้ายฯ กับ รุ่น2
รุ่นแรก (รุ่นทันหลวงพ่อ) ด้านหลังจะเขียน ชื่อว้ดว่า " วัดพันท้ายนรสิงห์ " ปลุกเสก วัดท่าซุง ปี 2535 จะมีเนื้อเงิน เนื้อกะไหล่ทอง กะไหล่เงิน





รูปหล่อลอยองค์ สมเด็จองปฐมรุ่น๓
สมเด็จองค์ปฐม รุ่นที่ ๓ วัดท่าซุง เป็นรุ่นสุดท้ายที่หลวงพ่อท่านสั่งสร้างก่อนที่ท่านจะละขันธ์ 
สมเด็จองค์ปฐม รุ่น 3 สร้างจากเนื้อทองเหลืองชุบทอง โดยถอดแบบมาจากพระสมเด็จองค์ปฐม รุ่นแรก จึงมีขนาดองค์พระเล็กกว่าเล็กน้อย โดยมีจุดสังเกตุเบื้องต้น คือ ที่ฐานบริเวณหน้าขาองค์สมเด็จท่านจะมีเนื้อเกิน และที่บริเวณด้านหลังจะมีเส้นพาดจากบริเวณเอวด้านขวาเฉียงลงมาที่บริเวณก้นองค์สมเด็จท่าน โดยขนาดขององค์พระจะมีฐานกว้าง 1.65ซม. ความสูง 3.1ซม. จำนวนการสร้างประมาณ 30,000องค์เศษ
ลักษณะของฝาปิดกริ่ง ฝาปิดกริ่งจะทำมาจากทองแดงมีอยู่ด้วยกันหลายแบบเท่าที่ทราบจะสามารถแบ่งได้ ดังนี้....
1. แบบตัวยันต์ นะ ตัวใหญ่
2. แบบตัวยันต์ นะ ตัวเล็ก
3. แบบตัวยันต์ มะอะอุ
4. แบบตัวยันต์ อุ ตัวเดียว
ยังมีใต้ฐานแบบไม่อุดกริ่ง และเป็นแบบฐานตันไม่ได้เจาะด้วย

พุทธาภิเษกคืน วันที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๓๕ เวลา ๒๓.๐๐ น. 

*** บันทึกในหนังสือประวัติมโนมยิทธิและประวัติของฉัน ที่จำหน่ายอยู่ที่ซอยสายลมและวัดท่าซุง ทางหลวงพี่วิรัชก็บันทึกไว้ชัดเจน ว่าหลวงพ่อปลุกเสกสมเด็จองค์ปฐมรุ่นสามตอนห้าทุ่ม  ***
   และรับทราบมาว่า...จากคำบอกเล่าของหลวงพี่วิรัช (ท่านเป็นพระที่ดูแลวัตถุมงคลของหลวงพ่อ)...หลวงพ่อบอก... วัน ที่ ๙ ตุลาคม ๒๕๓๕ เป็นพิธีสุดท้ายที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อท่านพุทธาภิเษกอธิฐานจิตปลุกเสกวัตถุมงคล ท่านเล่าให้ฟังว่า "เมื่อคืนปลุกเสกพระแอบไม่ให้หมาเห็น เพราะ ๒ งวดก่อนให้หมาเห็นเห่ากันให้เจี๊ยวจ๊าว เมื่อคืนแอบไม่ให้หมาเห็นเมื่อคืนเป็นพิธียันกลับ ใครทำไม่ดียันกลับหมด"

***พระเดชพระคุณหลวงพ่อ ได้กล่าวเมื่อปี2535 ว่า ผู้มีสมเด็จองค์ปฐม ติดตัวไว้จงมั่นใจได้ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์ก็ดี อมนุษย์ก็ดี สัตว์มีพิษร้ายก็ดี ภูติผีปีศาจร้ายก็ดี ถ้าคิดจะทำร้ายเรา จะรุ่มร้อนจนทนไม่ได้ ต้องล่าถอยไปในที่สุด และยังสามารถป้องกันอาวุธวิทยาศาสตร์ได้หลายชนิด อาทิเช่น นิวเคลียร์, สารเคมี, ก๊าซพิษ, ก๊าซชีวภาพ, ฝนกรดและโรคระบาดทุกชนิด นี่เป็นอานุภาพของสมเด็จองค์ปฐมซึ่งเป็นองค์ต้นของพุทธศาสนาที่บำเพ็ญบารมี มาถึง40อสงไขยแสนกัป
สมเด็จองค์ปฐมรุ่น๓วัดท่าซุง ถือเป็นรุ่นสุดท้ายที่พิเศษสุดที่หลวงพ่อสร้างไว้





พระหางหมาก พระคำข้าวมหาลาภ
คู่บารมี

*** เกษา ๔ เส้น *** พระหางหมาก (พระมหาลาภ) หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง อธิษฐานจิต

พระหางหมากเด่นทางด้านพูดจับใจคน ส่วนทางด้านลาภสักการะนั้นก็มากเสมอกันกับพระคำข้าว และที่สำคัญคือ พระหางหมากนี้ยังเด่นในด้านของการคุ้มครองและป้องกัน อันตรายต่างๆ อีกด้วย ถ้าพูดถึงพระเครื่องหลักๆของหลวงพ่อแล้วก็คงหนีไม่พ้นพระคำข้าวและพระหางหมากครับ เพราะเป็นพระที่หลวงพ่อสร้างไว้เพื่อลูกหลานอย่างเช่นพวกเรา ให้มีความคล่องตัวในการดำเนินชีวิตครับ

หลวงพ่อท่านจะเสกหมากก่อนฉัน แล้วนำหางหมากหรือหางพลู ที่เหลือมาผสมกับผงทำเป็นพระ แล้วนำเข้าพุทธาภิเษกอีกครั้ง สำหรับผลนั้นมีความต้องการในทางลาภมากที่สุด รองลงมาคือคุ้มภัย คงกระพันชาตรี พุทธคุณเต็มเปี่ยมทุกอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง...จะให้ผลเป็นพิเศษแด่ท่านที่นำไปบูชาด้วยความตั้งใจจริงครับ
สำหรับพระหางหมากองค์นี้มีความพิเศษเป็นอย่างยิ่ง เพราะปรากฏมีเส้นเกศาองค์หลวงพ่อถึง๔เส้น ถือเป็นองค์พระหางหมากที่ทรงคุณค่าอย่างที่สุดสำหรับผู้บูชา


พระคำข้าวมหาลาภ

หลวงพ่อเคยกล่าวว่า "พระคำข้าว"เวลาปลุกเสก มีรัศมีสวยมาก และเป็นคลื่น ไม่เคยเห็นเลย รัศมีขึ้นแบบคลื่นน้ำ แต่ก่อนเป็นรัศมีแบบบาง ๆ พระอย่างอื่น ๆ ทำ ๑๐ ชั่วโมง ก็มากแล้ว นี่พระคำข้าวต้องทำ ๓ เดือน ต้องเห็นพระชัด แล้วว่าคาถา ๑๐ บทกว่า บอกวางได้ จึงต้องวางลง ไปที่อื่นต้องทำด้วยทุกวัน จะคอยเข้าพรรษา ไม่ใช่ว่าไปที่อื่นแล้วไม่เอาไม่ใช่นะต้องทำตลอดเลย
ท่านยังได้กล่าวอีกว่า ทำยากเหลือเกินนะ ต้องเสกข้าวถึง ๓ เดือน เลือกกับข้าวที่อร่อยจริง ๆ ในวันนั้น ท่านสั่ง เดี๋ยวนี้ไม่คำเดียวแล้ว ๕ ถ้วยแล้ว บอก ไม่จำเป็นต้องเคี้ยว คือว่าให้ตักข้าวมา ๕ ถ้วย ถ้วยแก้วนะ แล้วท่านชี้กับข้าว กับข้าวท่านชี้ของท่านเองนะ ไอ้นี่อร่อย ๆ ๆ ๆ ๆ แล้วเสก เสกคาถายาวมาก กว่าฉันจะได้กินข้าวเพล พระเขาอิ่มแล้ว ต้องเสกเดี๋ยวนั้นอย่างนี้ ๓ เดือน แล้วก็ไปทำผง แล้วก็มาเสกใหญ่อีกครั้งนึง เข้าพุทธาภิเษกคือเวลาทำจริง ๆ พระพุทธเจ้าทุกองค์เสด็จมาหมด องค์ปฐม เป็นประธาน อยู่ข้างบนใช่ไหม และ องค์ปัจจุบันคุมฉัน ท่านปล่อยกระแสจิตพุ่งสว่างเป็นลำพุ่งมาที่ใจฉัน แล้วบอกเธอนั่งนิ่งๆ อย่าคิดถึงเรื่องอะไรทั้งหมด ห้ามดูอะไรทั้งหมด ให้ทรงอารมณ์เฉยๆ ๑๐ นาที ก็ทำตามท่าน แล้วท่านก็สั่งว่า ให้ว่า อิติปิโสฯ หลัง ๑๐ นาทีแล้ว ท่านบอกดูได้ พุ่งใจไปที่ของได้ พอพุ่งใจไปที่ของ ที่เห็นเป็นลำ ไม่เห็นของที่ปลุกเลย แสงพระพุทธเจ้ากลบหมด...หนามาก "พระคำข้าว" เด่นทางมหาลาภ มีรูปพระพุทธชินราช (พระพุทธกัสสป) ด้านหน้า และด้านหลังเป็นรูปหลวงพ่อ.."

วิธีอาราธนาพระหางหมาก พระคำข้าวมหาลาภ

คำอาราธนา ให้ระลึกถึงพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ทั้งหมด รวมทั้งเทวดาและพรหม ครูบาอาจารย์ทั้งหมด มีหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค อ.เสนา จ.อยุธยา เป็นที่สุด แล้วตั้งนะโม ๓ จบ ปฏิบัติตามปกติว่าอิติปิโส ๑ จบ หลังจากนั้นให้อธิษฐานเอาตามประสงค์ เมื่ออธิษฐานแล้ว ปลุกด้วย คาถาปลุกพระของหลวงพ่อปานว่า

"อิทธิฤทธิ พุทธะนิมิตตัง ขอเดชะ เดชัง ขอเดชเดชะ จงมาเป็นที่พึ่งแก่มะอะอุนี้เถิด"

เพื่อความคล่องตัวในด้านการเงิน ใช้ท่องกับพระคาถาเงินล้านครับ การเงินจะคล่องตัว

พระคาถาเงินล้าน

(ตั้ง นะโม ๓ จบ )

สัมปจิตฉามิ 
นาสังสิโม

พรหมา จะ มหาเทวา สัพเพยักขา ปะรายันติ (คาถาปัดอุปสรรค)

พรหมา จะ มหาเทวา อภิลาภา ภะวันตุ เม (คาถาเงินแสน )

มหาปุญโญ มหาลาโภ ภะวันต ุเม (คาถาลาภไม่ขาดสาย)

มิเตภาหุหะติ (คาถาเงินล้าน)

พุทธะมะอะอุ นะโมพุทธายะ วิระทะโย วิระโคนายัง วิระหิงสา

วิระทาสี วิระทาสา วิระอิทถิโย พุทธัสสะ มานีมามะ พุทธัสสะ สวาโหม (คาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า)

สัมปะติจฉามิ (คาถาเร่งลาภให้ได้เร็วขึ้น)

เพ็ง ๆ พา ๆ หา ๆ ฤา ๆ

( บูชา ๙ จบ ตัวคาถาต้องว่าทั้งหมด)





พระคำข้าวรุ่นพิเศษ(คู่บารมี) 
ฝังพระธาตุ๕พระองค์ หลังยันต์เกราะเพชร(ยันต์นูน)
พระคำข้าวรุ่นพิเศษ ปลุกเสกในวันวิสาขะบูชา ๒๕๓๕ พิธีเดียวกันกับสมเด็จองค์ปฐมรุ่น๑
ด้านหน้าเป็นรูปพระพุทธชินราช(สมเด็จองค์ปฐม)แบบเดียวกับรุ่น ๑ มีพระบรมสารีริกธาตุ บรรจุด้านหน้า ๕ องค์ ด้านหลังบรรจุผงคำข้าวและมีรูปยันต์เกราะเพชร มีสองแบบคือยันต์เกราะเพชรที่ปั๊มแบบจมลงไป กลับเป็นแบบนูน เรียกง่ายๆว่าเป็นพิมพ์ยันต์จมกับยันต์นูน และเท่าที่น๊อตสังเกตุรู้สึกว่ารุ่นที่เป็นยันต์นูน รูปองค์พระที่เป็นสมเด็จองค์ปฐม ขนาดจะใหญ่กว่า แบบยันต์จมเล็กน้อย




พระหางหมากมหาลาภ เกศา๔เส้น
(คู่บารมี)




พระหางหมากมหาลาภ
(คู่บารมี)




พระคำข้าวมหาลาภทาทอง เกศา๑เส้น
(คู่บารมี)




พระคำข้าวมหาลาภ
พิมพ์พระบาทขีดทาทอง




พระคำข้าวมหาลาภ
พิมพ์แขนจุดบัวหลายจุด(เลี่ยมเงิน)




พระคำข้าวมหาลาภ
พิมพ์แขนจุดบัวหลายจุด




พระคำข้าวมหาลาภ 
พิมพ์พระบาทขีดฐานจุด




พระคำข้าวมหาลาภ
พิมพ์พระบาทขีด




พระคำข้าวมหาลาภ
พิมพ์พระบาทขีด




เหรียญกูผู้ชนะ ยันต์พิชัยสงคราม
(คู่บารมี)





มีดหมอชาตรี

มีดหมอชาตรีมีการสร้างไว้ทั้งหมด 4 ชุดเข้าพิธีพุทธาภิเษกช่วงปีพ.ศ. 2534- 2535 อยู่ 4 พิธี

1. พิธีพุทธาภิเษกมีดหมอชาตรีชุดแรกเมื่อวันอาสาฬหบูชาที่ 26 กรกฏาคม 2534

2. พิธีพุทธาภิเษกมีดหมอชาตรีชุด 2 วันศุกร์ที่่ 7 กุมภาพันธ์ 2535

3. 
พิธีพุทธาภิเษกมีดหมอชาตรีชุด 3 เสาร์ที่ 16 พฤษภาคม 2535 วันวิสาขบูชา

4. 
พิธีพุทธาภิเษกมีดหมอชาตรีชุด 4 วันศุกร์ที่ 3 กรกฏาคม 2535
รายละเอียดมีดังนี้


1. พิธีพุทธาภิเษกมีดหมอชาตรีชุดแรกเมื่อวันอาสาฬหบูชาที่ 26 กรกฏาคม 2534 ที่ศาลา 2 ไร่ เวลาประมาณ 19.00 น. พร้อมกับน้ำมันชาตรี ,น้ำมนต์ชาตรี , พระปัจเจกพระพุทธเจ้าขนาดบูชา 5 นิ้วและวัตถุมงคลอย่างอื่นๆ

หนังสือ"สมบัติพ่อให้" บอกรายละเอียดว่ามีมีดหมอชาตรี 3 แบบในพิธีนี้คือ

- ขนาดใหญ่ ปลอกมีดเป็นหนัง ความยาวทั้งหมด 11.5 นิ้ว บนใบมีดเขียนว่า " มีดหมอชาตรี วัดท่าซุง ๒๖ ก.ค. ๓๔ "
- ขนาดกลาง ด้ามงาฝักงา ความยาวทั้งหมด 3.5 นิ้ว บนใบมีดด้านหนึ่งเขียนว่า " วัดท่าซุง ๓๔ มีดหมอชาตรี " อีกด้านหนึ่งเขียนว่า " มีดหมอชาตรี "
- ขนาดเล็ก มีดโต้จิ๋ว ความยาวทั้งหมด 58 มม.


มีดหมอชาตรี(อีโต้จิ๋ว) รุ่นแรก วัดท่าซุง ปี๓๔





หลวงปู่กาหลง เขี้ยวแก้ว 
วัดเขาแหลม ต.วังทอง อ.ชัยสมบูรณ์ จ.สระแก้ว

พระสีวลีมหาโชคมหาลาภ 
หลวงปู่กาหลง เขี้ยวแก้ว
พระสีวลีเนื้อผงว่าน 108 สีน้ำตาล รุ่น เตโชชยากรณ์ ด้านหน้าฝังเหรียญโค๊ต ด้านหลังฝังพระธาตุสีวลี และตะกรุดเงิน 1 ดอก

พระคาถาบูชาพระสีวลี 
ตั้งนโม 3 จบ
นะชาลีติ ฉิมพะลีจะมหาเถโร ลาภะลาโภ จะเทวตา จะลาภานัง 
สัพพะเสน่หัง สัพพะเสน่หา เมตตากรุณา มุทิตาอุเบกขา 
อิติปิโส ภะคะวา พุทโธจะมหาลาโภ ธัมมังจะมหาลาโภ สังโฆจะมหาลาโภ 
พุทธังจะมหาปัตตัง ธัมมังจะมหาปัตตัง สังฆังจะมหาปัตตัง
พุทธังจะมหาลาภัง ธัมมังจะมหาลาภัง สังฆังจะมหาลาภัง 
นโมพุทธายะ นะจงเสด็จมาอยู่ทางซ้าย ทาจงเสด็จมาอยู่ทางขวา
 คือดวงหทัย พุทธังคือแก้วทั้ง 5 จงเสด็จมาอยู่ในปากของข้าพเจ้า
 เมื่อข้าพเจ้าเจรจาให้มันละล้าละลัง สัพพะลาภังประสิทธิเม
นะชาลีติ เอหิ เอหิ จิตตัง นามะอิตถี ยังวา 
เอหิ เอหิ จิตตานามะ ราชาวา
 เอหิ เอหิ ลาภัง เอหิ เอหิ จิตตะวิญญาณ เอหิ เอหิ กายะวิญญาณ เอหิ เอหิ ธาตุวิญญาณ
 เอหิเอหิ รูปะวิญญาณ เอหิ เอหิ จงเรียกเอามาทั้งรูปะขันธ์ 5 จงเรียกเอาด้วยธาตุทั้ง4
 เอหิ เอหิ มโนจิตตะ วิญญาณธาตุนะชาลีติฉิมพะลีนัง พระฉิมพะลี 
พระผู้เป็นเจ้าจงเสด็จบันดลเข้าไปสู่ดวงจิต เข้าไปสู่ดวงใจ ทั้งหญิงทั้งชายให้รักให้ใคร่ 
ต้องจิตต้องใจ ต้องให้มันมาหา เอหิ เอหิ อาคัจฉายะ อาคัจฉาหิ เอหิจิตตังปิยังมะมะ
 จงเรียกเอามาทั้งสรรพสิ่งของทั้งปวง ให้มันไหลมาดั่งแม่น้ำคงคา ไหลมาเนืองนอง
 ลาภเงิน ลาภทอง ลาภสรรพสิ่งของ มั่งคั่งเงินทอง มุมะมิ มูละมุมะมิมู ละมาโภคา โภคังมั่งคั่ง
 สุขัง ธนัง สัจจัง ลาภัง ขิปปะ ขิปปัง จิตตะ วิญญานัง มาสู่ข้าพเจ้า

พระคาถาบูชาพระสีวลีนี้อาจจะยาวสักหน่อย แต่ก็เป็นพระคาถาดั้งเดิมในตำราที่เขียนด้วยลายมือหลวงปู่กาหลงแท้ ๆ เมื่อประมาณ พ.ศ. 2490 ที่ท่านได้ร่ำเรียนวิชาคาถาอาคมจากครูบาอาจารย์ต่าง ๆ และจดบันทึกไว้ สำหรับพระคาถาพระสีวลีนี้นับว่ามีความสำคัญต่อหลวงปู่ท่านมาก เพราะเหตุว่า พระคาถาพระสีวลีนี้ ท่านได้สวดภาวนาทุกวันทุกค่ำเช้า ท่านจึงมีลาภสักการะปัจจัยมาสร้างโบสถ์สร้างถาวรวัตถุเพื่อพระพุทธศาสนาได้ถึง 9 วัด






หลวงพ่อคูณ ปริสุทโธ 
วัดบ้านไร่ นครราชสีมา






หลวงปู่คำบุ คุตฺตจิตโต
วัดกุดชมภู  อุบลราชธานี


พระกริ่งศรีสุทโธ รุ่น อายุวัฒนะ ๙0
พระกริ่งศรีสุทโธ หลวงปู่คำบุ วัดกุดชมภู อ.พิบูลมังสาหาร จ.อุบลราชธานี รุ่น อายุวัฒนะ ๙๐ ดำเนินการสร้างโดย หลวงปู่เณรแก้ง คัมภีโร วัดบ้านเกษตรทุ่งเศรษฐี จ. ร้อยเอ็ด ศิษย์เอกของหลวงปู่คำบุ โดยมีหลวงปู่คำบุ เป็นประธานในการจัดสร้าง และได้ทำพิธีอธิษฐานจิตปลุกเสก ณ อุโบสถวัดกุดชมภู เมื่อวันพุธที่ ๑๒ ตุลาคม ๒๕๕๔  ตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๑ ซึ่งมีบั้งไฟพญานาคปรากฏขึ้นกลางลำน้ำโขงทุกปี โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อนำรายได้สร้างสร้างรูปเหมือนหุ่นขี้ผึ้งเท่าองค์จริง (หน้าตัก ๒๙ นิ้ว) และสมทบทุนสร้างซุ้มประตูวัดกุดชมภู จ.อุบลราชธานี สมทบทุนสร้างอุโบสถวัดบ้านเกษตรทุ่งเศรษฐี จ.ร้อยเอ็ด สมทบทุนสร้างศาลาปฏิบัติธรรม วัดป่าสามัคคีธรรม จ.กาฬสินธุ์ โดยจัดสร้างพร้อมกับวัตถุมงคลอีก ๖ รายการ คือ รูปเหมือนหุ่นขี้ผึ้งขนาดบูชา หน้าตัก ๙ นิ้ว, พระสมเด็จทรงครุฑ, พระปิดตาเศรษฐีใหญ่, รูปหล่อเหมือนหล่อลอยองค์, ล็อคเก็ต อายุวัฒนะ ๙๐  และน้องแมวเรียกทรัพย์ อุดผงลูกกรอกแมว ผสมชนวนมวลสารศักดิ์สิทธิ์มากมาย
                หลวงปู่คำบุ พร้อมด้วยพระเถระชั้นผู้ใหญ่ และคณะศิษยานุศิษย์ เดินทางไปประกอบพิธีบวงสรวง พญานาคศรีสุทโธ  ที่ดงคำชะโนด สถานที่ลี้ลับศักดิ์สิทธิ์ อ.บ้านดุง จ.อุดรธานี ดินแดนนอาถรรพณ์ สนธยาเมืองบังบด ซึ่งเป็นสถานที่ที่พญานาคศรีสุทโธ ขึ้นมาจากวังบาดาล สู่โลกมนุษย์ เบื้องหน้าศาลสถิต เพื่อบอกกล่าวขออนุญาต จัดสร้างพระกริ่งศรีสุทโธ และอัญเชิญน้ำมนต์ศักดิ์สิทธิ์ จากบ่อพญานาค นำมาประพรมวัตถุมงคล เครื่องราง อายุวัฒนะ๙๐”  ให้เกิดอานุภาพเข้มขลังศักดิ์สิทธิ์                พระกริ่งศรีสุทโธ มีพุทธลักษณะงดงาม สวยคมชัด พุทธศิลป์ล้ำเลิศ รอบฐานรูปพญานาคปู่ศรีสุทโธ หมายถึง ความอุดมสมบูรณ์ พูนผล โชคลาภ อำนาจ วาสนา ยศฐาบรรดาศักดิ์ สวยคมชัด ขนาดสูง ๑ นิ้วครึ่ง พระพักตร์อิ่มเอิบแฝงไว้ด้วยเมตตาบารมีธรรม พระหัตถ์ถือกริ่งน้ำเต้า คือ ความอุดมสมบูรณ์พูนสุขด้วยน้ำอมฤทธิ์ ใครได้บูชาแล้วจะสำเร็จผลทุกประการ พกพาติดตัวแคล้วคลลาดปลอดภัย ปราศจากภัยอันตรายภัยพิบัติทั้งหลายทั้งปวง เป็นเมตตามหานิยม ใช้ทำน้ำมนต์กินอาบ ขับไล่คุณไสย์มนต์ดำเสนียดจัญไร ให้หมดสิ้นด้วยพุทธานุภาพ ของพระกริ่งศรีสุทโธ อธิษฐานขอสิ่งใดสมหวังทุกประการแล จัดสร้างด้วยกัน  ๔ เนื้อ คือ ๑. เนื้อสามกษัตริย์  ๒. เนื้อสัมฤทธิ์ ชุบทอง ๓. เนื้อทองขาว  ๔. เนื้อสัตตะโลหะ ถือเป็นรุ่นที่จัดสร้างต้อนรับปีมังกรทอง (พ.ศ. ๒๕๕๕) ที่จะมาถึง จึงได้รับความสนใจจากศิษยานุศิษย์ทั้งชาวไทย และชาวต่างประเทศเป็นอย่างมาก ทำให้หมดจากวัดไปอย่างรวดเร็ว  
พระกริ่งศรีสุทโธ "เนื้อสัมฤทธิ์ชุบทอง" องค์นี้มีความพิเศษคือ เจ้าของเดิมได้ทาทองเฉพาะเศียรองค์พระและจีวรรวมถึงฐานที่เป็นองค์พญานาค แต่ไม่ได้ทาทองทั่วทั้งองค์พระ และได้จัดทำซุ้มโลหะชุบทองโดยประดับด้วยพลอยหลากหลายวรรณะสีซึ่งมีความสวยงามมากๆ เป็นของดีมงคลสูงที่ควรค่าแก่การบูชาเป็นอย่างยิ่ง
พระกริ่งศรีสุทโธ เป็นองค์พระที่มีพลังงานเข้มขลังในทุกๆด้าน มีญานบารมีองค์พญาศรีสุทโธนาคราชและเทวดาสถิตย์ในองค์พระเข้มขลังอย่างที่สุด





รวมสุดยอดรูปหล่อคู่บารมี










เหล็กไหล ราชาแห่งวัตถุมงคลในจักรวาลย์
เหล็กไหล...ก้อนแร่เหล็กบริสุทธิ์ที่เกิดขึ้นเองโดยธรรมชาติ ว่ากันว่าได้รับการอธิษฐานบรรจุฤทธิ์ โดยพระฤาษีผู้ทรงฌาณชั้นสูง เพื่อธำรงคุณงามความดี โดยมีธาตุกายสิทธิ์เป็นผู้คอยช่วยเหลือผู้ที่มีความทุกข์ยากให้พ้นภัย จัดเป็นธาตุกายสิทธิ์ชนิดหนึ่งที่มีรังสีหรือพลังปราณที่ทรงอำนาจในการป้องกันตัว และสิ่งที่อยู่ใกล้ตัว ให้พ้นจากภัยอันตรายอันเกิดจากอาวุธปืนหรือของมีคม เป็นสะสารที่มีชีวิตเป็นอมตะและหายากยิ่ง ต้องมีพิธีกรรมมากมายกว่าจะได้มา ฉะนั้นเหล็กไหลจึงเป็นวัตถุอาถรรพ์ที่มีราคาแพง เพราะเป็นที่รู้จักกันอย่างแพร่หลาย และเป็นที่เข้าใจกันทั่วไปว่า เหล็กไหลมีอานุภาพยอดเยี่ยม สามารถคุ้มครองชีวิตคนที่มีเหล็กไหลพกติดตัว และจะได้รับความคุ้มครองให้ปลอดภัยจากอุบัติภัยร้ายแรง รวมถึงอาวุธร้ายแรงนานาชนิดได้อย่างน่าอัศจรรย์นั่นเอง   แท้จริงแล้วเหล็กไหลอะไร คือ ธาตุกายสิทธิ์ มีพลังอำนาจมีฤทธิ์อยู่ในตัว เหล็กไหลเกิดจากพลังอำนาจของผู้ที่ทรงฌานสมาบัติขั้นสูง ซึ่งอาจจะเป็นฤาษีที่บำเพ็ญฤทธิ์อยู่ในป่า เมื่อผู้ที่ทรงฌานตาย ทำให้ธาตุขันธ์มีสภาพกลายเป็นเหล็กไหล เนื่องด้วยพลังอำนาจจิตที่เป็นฌานในระดับสูงจึงทำให้พลังธาตุนั้นมีฤทธิ์มาก เพราะผู้ทรงฌานก็คือผู้ทรงฤทธิ์นั่นเอง จึงเป็นที่มาว่าทำไมเหล็กไหลมีฤทธิ์มาก  คำว่า "ธาตุกายสิทธิ์" นั้น หมายถึง วัตถุธาตุบางชนิดที่ปรากฏอยู่ในจักรวาลอันกว้างใหญ่นี้ ประกอบไปด้วยพลังงานอันมหาศาล อันเกิดจากเจตสิกผู้ครอบครองธาตุนั้นแฝงเร้นอยู่ ใช้สำหรับป้องกันภัยให้กับตนเองโดยธรรมชาติ แต่บางครั้งไม่ได้ปรากฏให้เห็นชัดเจน กลับซึมลึกลงไปอยู่ใต้พื้นผิวโลก ตามป่าตามเขา ตามถ้ำ แม้แต่ห้วยหนอง คลองบึง รอจนกว่าผู้ที่มีภูมิจิตภูมิธรรมสูงไปพบเข้า แล้วหยิบยกเอาธาตุกายสิทธิ์เหล่านี้มาใช้ประโยชน์ เพื่อมวลมนุษยชาติและปกป้องคุ้มครองคนหมู่มาก ดังนั้นจึงเชื่อกันว่า "เหล็กไหล" จัดเป็นธาตุกายสิทธิ์ชนิดหนึ่ง โคตรเหล็กไหลหรือเหล็กไหลงอก คือเหล็กที่แข็งตัวไปตามธรรมชาติแล้ว แต่สามารถงอกออกมาได้ เหล็กไหลงอกที่ขึ้นชื่อที่พบมากมาจาก 3 แหล่งใหญ่ในประเทศไทยคือ 
 1. เขาอึมครึม จ. กาญจนบุรี

2. เกาะล้าน พัทยา

3. อ.ลอง จ.แพร่ ที่ชาวบ้านเขาเรียกว่าตับเหล็กเมืองลอง 
                                       
              4. อ. ปราสาท จ.สุรินทร์และตามชายแดนเขตไทยพม่าอีกหลายแห่ง 

เหล็กไหลงอก มีลักษณะการงอกเหมือนเม็ดไข่ปลา สีดำอมเขียว มีหลายสีสัน เช่น สีรุ้ง สีดำอมเขียว สีดำอมแดง สีดำผสมเงิน เป็นต้น เหล็กไหลงอก เป็นอีกหนึ่งในบรรดาเหล็กไหลชั้นยอด มีอิทธิฤทธิ์ในด้านต่างๆ เหมือนเหล็กไหลชนิดอื่นๆ เช่นกัน จึงเป็นที่มาแห่งสุดยอดเหล็กไหลบารมี เลยก็ว่าได้ เหล็กไหลมีอิทธิคุณทุกด้าน ทั้งเสน่ห์ เมตตามหานิยม คุ้มครองชีวิตผู้เป็นเจ้าของ ป้องกันภูตผีปีศาจ ให้โชคลาภ เงินทองไหลมาเทมาค้าขายร่ำรายเป็นเศรษฐีมหาเศรษฐี แคล้วคลาดจากภัยต่างๆ ทั้งปวง เหมาะสำหรับผู้บำเพ็ญญาณบารมี มีอนุภาพ 108 ประการ เหล็กไหลงอกนั้นมีทั้งเทพพรหม ฤาษี คอยรักษาดูแลอยู่ ด้วยอานิสงส์จากการบูชาเหล็กไหลงอก มีคุณค่าอเนกอนันต์จึงทำให้ผู้รู้หลายท่านพยายาม ตามหาเหล็กไหลชนิดนี้ไว้ครอบครอง แต่ก็หาได้ยากเพราะในธรรมชาตินั้นมีน้อยมาก ผู้ที่ได้เหล็กไหลชนิดนี้ไว้ครอบครองนับว่าเป็นผู้มีบุญบารมีสูงอย่างยิ่ง  ด้วยพลังอำนาจที่มีอยู่ในตัวเหล็กไหลผู้ที่มีไว้ครอบครองจะประสบความสำเร็จในชีวิตนานัปการ เหล็กไหลนั้นย่อมอยู่เหนืออำนาจเงินอันเป็นเพียงของสมมุติบัญญัติของมนุษย์ การมีเงินไม่ใช่ปัจหลักในการที่จะได้มาซึ่งของวิเศษ ผู้ที่ครอบครองเหล็กไหลจะต้องเป็นคนดีมีศิลธรรมด้วยอีกทั้งจะต้องมีความเชื่อและศรัทธาในเหล็กไหลอย่างแท้จริง เหล็กไหลงอกสามารถเปลี่ยนสิ่งชั่วร้ายเป็นสิ่งดีๆ เปลี่ยนจิตใจคนได้จากร้ายกลายเป็นดีได้เช่นกัน ถือได้ว่าเป็นสิ่งที่มีคุณค่าอย่างยิ่ง กันภูตผีปีศาจ กันดวงตก ดวงชงดวง ชะตาขาด กันการชงตามงานศพ งานแต่ง ธาตุกายสิทธิ์ชนิดนี้ มีอิทธิคุณในตัว อาจารย์หรือผู้รู้นิยมนำธาตุกายสิทธิ์เหล็กไหลชนิดนี้มาทำน้ำมนต์รักษาโรคภัยต่างๆ เหล็กไหลงอกมีพลังอำนาจครอบจักรวาลประหนึ่งแก้วสารพัดนึก แต่สิ่งที่จะอธิษฐานใดๆ นั้นจะสำเร็จหรือไม่มากน้อยเพียงใด โดยจะไม่เกินอำนาจของกฎแห่งกรรมตามอำนาจวาสนาเฉพาะของคนๆนั้น 
 อิทธิคุณองค์เหล็กไหลนั้น"ครอบจักรวาลย์"สูงส่งในทุกๆด้าน  เมตตามหานิยม  แคล้วคลาด  โชคลาภ  คงกระพันชาตรี  มหาอุด  เสริมอำนาจบารมี ป้องกันคุณไสย์ทุกประการ  เป็นเจ้าแห่งเครื่องราง-ของขลังอย่างแท้จริง  กล่าวคือ พลังงานขององค์เหล็กไหลนั้นจะปิดกั้นพลังงานของเครื่องราง-ของขลัง ทุกประเภท หากว่าเครื่องราง-ของขลังชนิดนั้นๆไม่ใช่รูปลักษณ์ของ"องค์พระพุทธ" หรือ "องค์พระสงฆ์" ดังนั้นหากว่าเราพกพาหรืออาราธนาองค์เหล็กไหลติดตัวแล้วนั้น  ก็ไม่ต้องพกพาหรืออาราธนา เครื่องราง-ของขลัง ชนิดใดติดตัวไปด้วยอีกเลยแม้แต่ชิ้นเดียว  ด้วยองค์ไหลนั้นจะมีเทพเทวดา พระอรหันต์ และองค์ปู่ฤาษีมากมายหลายองค์ได้สถิตย์ปกปักษ์รักษาองค์เหล็กไหลอยู่เสมอ จึงมีความศักดิ์สิทธิ์เป็นอย่างยิ่งเหนือวัตถุมงคลเครื่องราง-ของขลังทุกประการ 


 การรักษาและพัฒนาธาตุกายสิทธิ์ (เหล็กไหล)

พระอาจารย์มหาเสริมชัย ชยมังคโล หรือ พระราชญาณวิศิฏฐ์ เจ้าอาวาส วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี ผู้ได้ศึกษาเรื่องราวของ “เหล็กไหล” มามากพอสมควร ได้ให้ข้อคิดเห็นต่อความสงสัยในเรื่องราวของธาตุกายสิทธิ์เหล่านี้ไว้ว่า 

การกำเนิดของเหล็กไหล เกิดจากมหาฤาษีหรือเทพพรหม คนธรรพ์ นาค ยักษ์ ที่มีความปรารถนาที่ จะสร้างบารมีให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป มุ่งสู่การบำเพ็ญเพียรสร้างบารมีธรรมเพื่อเลื่อนภูมิจิตของตนเองเข้าสู่อริยมรรค ถึงพระนิพพานอันเป็นอมตธรรมเป็นสำคัญ

เหล็กไหลจึงมักจะอยู่กับคนดีมีศีลธรรม ให้คุณประโยชน์แก่ผู้ที่มีไว้ครอบครองด้วย ความสมบูรณ์พูนสุข ในมนุษย์สมบัติ สวรรค์สมบัติ และพระนิพพานสมบัติ ถึงซึ่งอริยมรรค คือ มรรค ผล นิพพาน ตามกระแสพระสัทธรรมของสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าได้ง่ายขึ้น 

                   เพราะฉะนั้นผู้ครอบครองเหล็กไหล ควรจะปฏิบัติตนให้เหมาะสม สมควรแก่การรองรับเอาธาตุ กายสิทธิ์เหล่านี้ไว้เป็นบารมีของตน ในเบื้องต้นควรจะเป็นผู้ถึงพร้อมด้วย ทาน ศีล ภาวนา สัมมาปฏิบัติให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป ควรให้โอกาสธาตุกายสิทธิ์เหล่านี้ชำระล้างมลทิน ด้วยการให้ถือศีล  5 เป็นอย่างต่ำ วันพระถือศีล 8 ให้ เขามีโอกาสได้ร่วมพิธีบวชเณรหรือพระภิกษุในทางพระพุทธศาสนาด้วยยิ่งดี 

                   ในกรณีที่เราไม่สามารถยึดมั่นอยู่ในหลักธรรมขององค์สมเด็จสัมมาสัมพุทธเจ้าได้อย่างมั่นคงแล้ว ก็ ไม่สมควรจะเป็นผู้ครอบครอง “เหล็กไหล” ธาตุกายสิทธิ์ เพราะบารมีเราอ่อนกว่าแล้วจะทำให้เกิดโทษได้ในภายหลัง ควรครอบครองธาตุกายสิทธิ์ที่ ผู้รู้หรือผู้ทรงคุณวุฒิท่านได้นำมาสร้างเป็นพระเครื่องหรือวัตถุมงคล ซึ่งได้ผ่านการเจริญภาวนาชำระธาตุธรรม นำธาตุกายสิทธิ์เหล่านี้เข้าสู่กระแสธรรมเรียบร้อยแล้ว จึงจะดีและปลอดภัยด้วยประการทั้งปวง 

หลักการพิจารณาของจริง 

                   ปัจจุบันนี้พวกเราคงได้ยินได้ฟังเรื่องราวของ  “ธาตุกายสิทธิ์” เหล็กไหล ค่อนข้างมาก แม้กระทั่งเห็นวางจำหน่ายอยู่ตามแผงพระก็มี ริมฟุตบาทข้างถนนก็มี ก็เลยยิ่งสับสนกันไปใหญ่ ว่าเป็นของจริงหรือเปล่า 

                   หากท่านไม่สนใจไม่ศรัทธาในสิ่งเหล่านี้ก็คงไม่เป็นปัญหาอะไร แต่ถ้าสนใจขึ้นมาละก็ ควรจะต้องศึกษาถามไถ่จากผู้รู้จริง ๆ จึงจะสมควร อย่าไปฮือฮาตามกระแส  ถ้าจะให้ตอบ ก็ขอบอกว่า  จริงก็มี ไม่จริงก็มี ดังนั้นอย่าไปเดาสุ่ม เพราะของดีจริงนั้นมีอยู่ จึงมีของทำเทียมและเลียนแบบปลอมปนสร้างความเข้าใจผิดให้ผู้ สนใจได้หลงผิด ด้วยคนโลภและทุศีล ขาดคุณธรรม ไม่มีหิริโอตตัปปะ เอามาหลอกขายหาเงินจากผู้ที่รู้ไม่เท่าทัน 

                   สัจจธรรมอย่างหนึ่งที่เห็นได้ง่ายมาทุกยุคทุกสมัย อะไรก็แล้วแต่ที่มีค่าเป็นเงินตรา และเป็นที่สนใจใฝ่หาของคนทั่วไป ในไม่ช้าก็มีของทำเทียมและเลียนแบบปรากฏออกมาแอบอ้างให้ผู้คนหลงผิดอยู่เป็นประจำ เช่น พระเครื่องพิมพ์ต่าง ๆ ที่มีราคาสูง อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้าและอีเล็คโทรนิค เป็นต้น เพราะปัจจุบันเทคโนโลยี่ มีความก้าวหน้า  เทคนิคการทำเทียมก็เลยแนบเนียนจนยากแก่การแยกแยะ 

                   ดังนั้นผู้สนใจพึงสังวร อย่าตกเป็นเหยื่อของคนโลภ ดังที่ปรากฏเป็นข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์เป็นประจำ เพราะเหล็กไหลย่อมมีคุณประโยชน์อันยิ่งใหญ่แก่ผู้มีคุณธรรม และมีโทษมหันต์สำหรับคนชั่วหรือคนทุศีลได้เหมือนกัน 

สำหรับผู้สนใจพึงตั้งจิตอธิษฐานที่จะมีธาตุกายสิทธิ์เหล่านี้ไว้ในครอบครอง เพื่อขอบารมีจากวัตถุ ธาตุกายสิทธิ์มาอนุเคราะห์อำนวยประโยชน์แก่การศึกษาและปฏิบัติธรรม เพิ่มพูนบุญบารมีธรรมให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป ซึ่งเป็นที่ปรารถนาของเหล่าเทพ พรหม ผู้รักษาเหล็กไหล ที่จะดำเนินชีวิตตนมุ่งสู่อมตธรรมที่สิ้นสุดแห่งทุกข์ทั้งปวง เทพเทวาผู้รักษาธาตุกายสิทธิ์นี้ก็จะเปิดบารมีให้แก่ท่านได้พบสี่งที่ปรารถนาเอง 

ดังนั้นหลักเบื้องต้นในการพิจารณาถึงวัตถุธาตุกายสิทธิ์ว่า เป็นของจริง หรือ ของเทียมและเลียนแบบนั้น จึงขอตั้งข้อสังเกตให้ท่านได้ศึกษาพิจารณาดังนี้ 
พิจารณาแหล่งที่มาว่าเป็นวัตถุธาตุที่มาจากสำนักที่พึงเชื่อถือได้  ความจริงการที่บุคคลภายนอกจะพิจารณาคุณธรรมของคนในสำนักต่าง ๆ นั้นคงไม่ใช่สิ่งที่ง่าย แต่ก็พอจะศึกษาได้จาก เจตนา ความคิดอ่าน การกระทำ ว่าเป็นไปในลักษณะของผู้มีศีลมีธรรม ส่งเสริมการศึกษาและปฏิบัติ ช่วยสืบบวรพระพุทธศาสนาให้เจริญรุ่งเรืองและมั่นคง เป็นไปเพื่อประโยชน์สุขแก่มหาชนเพียงใด หรือมีพฤติกรรมหรือเจตนาเพื่อลาภสักการะ  เพื่อประโยชน์ส่วนตนและพวกพ้องหมู่คณะแห่งตน 
พิจารณาถึงความชัดเจนของธาตุกายสิทธิ์เหล่านั้นว่าได้มาโดยวิธีใด ในหลักการนี้หมายถึง ให้รู้จักว่าเป็น เหล็กไหลตัด หรือ เหล็กไหลบารมี ได้มาด้วยบารมีธรรมของตนเอง หรือ เทพเทวาเปิดบารมีให้  

เหตุที่ปัจจุบันนี้ปรากฏ ธาตุกายสิทธิ์เหล็กไหล ขึ้นมามากมาย ด้วยเหตุสำคัญดังนี้ 
ยุคกึ่งพุทธกาล เนื่องจากประเทศไทยเป็นที่ตั้งมั่นอันสำคัญของพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นยุคเทพพรหมเทวาทั้งหลาย ได้ปราวารณาไว้กับองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า จะลงมาช่วยกันสืบพระศาสนาของ พระสมณโคดม ให้สถาพรอยู่ถึง 5,000 ปีตามพุทธทำนาย จึงเป็นบ่อเกิดและที่สถิตอยู่ของผู้มีบุญบารมีในระดับต่าง ๆ เพื่อบำเพ็ญบารมีธรรมให้บรรลุถึงซึ่งมรรคผล นิพพาน หรือเป็นอรหัสต์สาวก พระปัจเจกพระพุทธเจ้า หรือ พระโพธิสัตว์ จนถึงพระพุทธเจ้าในอนาคตกาล ตามแรงอธิษฐานบารมีที่เคยได้กระทำมาแล้วในอดีต  เทพเทวาผู้รักษาเหล็กไหล จึงเปิดโอกาสแก่ผู้บำเพ็ญบารมีในระดับต่าง ๆ ให้ได้รับธาตุกายสิทธิ์เหล่านี้ไปครอบครอง เพื่อมุ่งอำนวยประโยชน์ต่อการบำเพ็ญบารมีธรรมให้ยิ่ง ๆ ขึ้นไป เพื่อช่วยกันสืบบวรพระพุทธศาสนาในประเทศไทยให้เจริญรุ่งเรืองสถาพรสืบไป 
ดังนั้น ในหมู่ผู้ปฏิบัติธรรมบางคน จึงมีสิทธิ์ได้รับ ธาตุกายสิทธิ์เหล็กไหล โดยวิธีการต่าง ๆ ที่คาดไม่ถึง เพื่อกอบกู้ คุ้มครอง รักษาประเทศชาติ และศาสนาให้มั่นคง เพียงแต่ไม่ค่อยมีใครรู้เท่านั้น 

สีสันและคุณประโยชน์  

          1. สีเงินยวง เหล็กไหลชนิดนี้มีอริยเทพ อริยพรหมในระดับ อรูปฌาณ รักษาอยู่ เป็นเหล็กไหลที่มีบารมีธรรมในชั้นสูง พบมากในแถบที่มีอากาศเย็นจัด พวกลามะทิเบตมักใช้พกติดตัว จึงพบมากในเขตเทือกเขาสูงที่มีหิมะปกคลุม เช่นประเทศทิเบต จีน แถบภาคเหนือของไทย ลาว ดีเด่นทางเมตตามหานิยม คงกระพันชาตรี แคล้วคลาด และล่องหนหายตัวได้ ชอบช่วยเหลือผู้ปฏิบัติธรรม หรือดลใจให้ผู้ครอบครองมีจิตใจฝักใฝ่อยู่ในการสร้างบุญสร้างกุศล 
เหล็กไหลชนิดนี้จัดได้ว่า เป็นเหล็กไหลที่มีบารมีธรรมสูงสุดในบรรดาผู้ครอบครองเหล็กไหลทุกชนิด สมัยโบราณมักจะนำไปจัดสร้างพระพุทธรูปหรือเครื่องรางของขลังในสมัยโบราณ ดังนั้นเหล็กไหลชนิดนี้จึงมักจะอยู่ในความครอบครองของนักบวชต่างๆ เช่น ฤาษี ชีไพร ภิกษุสงฆ์ผู้ท่องเที่ยวหาความวิเวกตามป่าเขา 

          2. สีเขียวปีกแมลงทับ เหล็กไหลชนิดนี้มี อริยเทพ อริยพรหม ในระดับ รูปฌาณ เป็นผู้ดูแลรักษา เพื่อมอบให้กับผู้ที่มีบุญบารมี และผู้ที่กำลังประพฤติปฏิบัติอยู่ในบุญกุศล เพื่อแสวงหาความหลุดพ้นนั้น ส่วนใหญ่จะมีบริวารเป็นจำนวนมากคอยอารักขาหลายชั้น ผู้พบเห็นส่วนใหญ่จะเป็นผู้ประพฤติธรรม ที่บังเอิญผ่านเข้าไปพบเข้าโดยบังเอิญ หรือเกิดจากการลองใจของเทพผู้รักษาเหล็กไหลก็แล้วแต่ บุคคลธรรมดาทั่วไปอย่าหมายว่าจะครอบครองเป็นเจ้าของได้โดยง่าย   ดีเด่นในทุกๆ ทาง ไม่ว่าเป็นเมตตามหานิยม โชคลาภ แคล้วคลาดกันภัย ล่องหนหายตัว มหาอุด คงกระพัน ยืดได้หดได้ เล่นกับไฟ กินน้ำผึ้ง 

          3. สีทอง หรือ สีน้ำตาลอ่อน เหล็กไหลชนิดนี้จะมีเทวดาจำพวกคนธรรพ์และเหล่าเพชรพญาธร เป็นผู้ดูแลรักษา มีฤทธิ์อำนาจใกล้เคียงกับเหล่าพญานาค แต่มีฤทธือำนาจพิเศษกว่าคือสามารถที่จะลื่นไหลไปมาได้ สามารถที่จะกำบังกายได้ มีอยู่ตามป่าเขาทั่วไป  ดีเด่นทางด้านเมตตามหานิยม โชคลาภ และความรักเด่นเป็นพิเศษ 

          4. สีเขียวอมดำ เหล็กไหลชนิดนี้มี อริยะเทพ อริยะพรหม ในระดับ รูปพรหม เป็นอริยะธรรมในระดับสูง ที่มุ่งบำเพ็ญบารมีรักษาพระพุทธศาสนา จะอยู่เฝ้ารักษาพระบรมสารีริกธาตุหรืออรหันต์ธาตุที่สำคัญไว้ จึงมักจะปรากฏเป็นลูกไฟดวงใหญ่เป็นสีแสงคุ้มครองรักษาธาตุศักดิ์สิทธิ์ ไม่ให้ผู้คนเข้าไปรบกวน เด่นทางด้านอิทธิ์ฤทธิ์ เนรมิตภาพมายา ส่งเสริมผู้ใฝ่ในการปฏิบัติธรรมในรูปแบบการชี้แนะผ่านทางนิมิตรสมาธิ หรือความฝัน จัดเป็นเหล็กไหลที่หาได้ยากมากชนิดหนึ่ง 

          5. สีชมพู เหล็กไหลชนิดนี้มี อริยเทพ อริยพรหม ในระดับ รูปฌาณ รักษาอยู่ เป็ไหลที่มี บารมีธรรมในระดับสูงรองลงมาจาก อรูปฌาณ พบมากในเขตป่าเขาที่มีความชุ่มชื้น มักอยู่ตามถ้ำภูผาที่ลึกลับ พบเห็นได้ยาก นอกจากผู้มีบารมีธรรมเข้าถึงสัจจธรรมเท่านั้น ดีเด่นทางด้านเมตตามหานิยม โชคลาภ แคล้วคลาด กันภัย ช่วยเหลือผู้เป็นสัมมาทิฏฐิให้สำเร็จในสิ่งที่อธิษฐานไว้ โดยไม่ขัดกับกฏแห่งกรรม 

          6. สีเหลือง เหล็กไหลชนิดนี้เกิดจากอำนาจบารมีของภูมิจิตภูมิธรรม ของเหล่าอริยเทพ อริยพรหม ในระดับรูปฌาณ ที่ปรารถนาพุทธภูมิในระดับ พระปัจเจกพุทธเจ้า สีสันเหมือนกับแสงนวลของพระจันทร์ในคืนวันเพ็ญ มักแฝงเร้นในที่สงบด้วยป่าเขา ลำเนาไพร ถ้ำคูหาที่สงบเยือกเย็นบนภูเขาสูงๆ เรียกลมเรียกฝนได้ มีอิทธิ์ฤทธิ์ทำให้เกิดปาฏิหาริย์ได้มากมาย เช่น ดวงรัศมีกลมใหญ่ส่องสว่างทั่วภูเขา จะพบเห็นได้ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์เท่านั้น  เหล็กไหลประเภทนี้สามารถอธิษฐานขออาราธนาบารมีจากพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้าและพระอรหันต์ได้ แต่จะไม่มีเทพเข้าไปสิงสถิตย์อยู่ แต่เทพพรหมในระดับจ่างๆ จะเข้าไปอธิษฐานของบารมีและเฝ้ารักษาอยู่ภายนอกเท่านั้น ไม่มีใครจะบังคับหรืออัญเชิญท่านด้วยอิทธิ์ฤทธิ์หรือวิชาคาถาอาคมใดๆ เว้นแต่ขอชมบารมี ขอคำแนะนำในการปฏิบัติธรรมให้ยิ่งๆ ขึ้นไป โดยมาปรากฏในลักษณะนิมิตรต่างๆ ในขณะนั่งสมาธิ 

         7. สีฟ้าอ่อน เหล็กไหลชนิดนี้เกิดจากอำนาจบารมีของ อริยะเทพ ในระดับมหาเทพชั้นสูง ผู้ครอบครองเหล็กไหลชนิดนี้ จะเป็นผู้มีบารมีเดิมที่เคยเกี่ยวข้องกันมาก่อน เพื่อช่วยส่งเสริมด้านบารมีธรรมทั้งนักบวชและฆราวาสให้เป็นผู้สอนธรรมในระดับปานกลาง จนถึงระดับสูงขึ้นไป มีฤทธิ์อำนาจในการขจัดปัดเป่าโรคภัยไข้เจ็บ ดับพิษร้อน ป้องกันภูติผีปีศาจ แต่มีขอบเขตและรัศมีที่จำกัด สามารถล่องหนหายตัวได้ กันฟ้าผ่า มีความเย็นจนสามารถกำจัดไฟได้ในรัศมีของมัน 

          8. สีน้ำตาลอมแดง เหล็กไหลชนิดนี้มีพวก นาค นาคา ผู้บำเพ็ญศีลเฝ้ารักษาอยู่ จึงมีฤทธิ์อำนาจในทางความร้อนแรงด้วยพิษแห่งนาคทั้งหลาย จึงทำให้เหล็กไหลประเภทนี้มีสีออกทางน้ำตาลเข้มและน้ำตาลอมแดง มีฤทธิ์อำนาจในทำลายล้างพวกมนต์ดำ อวิชชา ป้องกันภูติผีปีศาจได้ 

         9. สีดำเหมือนนิล เหล็กไหลชนิดนี้เกิดจากอำนาจบารมีของ เหล่าเทพ คนธรรพ์ บังบด เพชรพญาธร ยักษ์ ผู้ปรารถนาจะสร้างบารมีให้ยิ่งๆ ขึ้นไป แต่ยังติดอยู่ในระดับโลกียฌาณ คือยังมีความ โลภ โกรธ หลง ติดอยู่ จึงทำให้มีบารมีทางธรรมน้อยกว่าเหล็กไหลชนิดอื่นๆ 
 มีฤทธิ์อำนาจทางการคุ้มครอง แคล้วคลาดกันภัย เป็นมหาอุด คงกระพัน 

         10. เจ็ดสีประกายรุ้ง เหล็กไหลชนิดนี้เกิดจากอำนาจบารมีของ อริยะเทพ อริยะพรหมผู้รักษาเหล็กไหล ที่ปฏิบัติจนสภาวะจิตเป็นสีประกายรุ้งรัศมีสวยสดงดงาม เป็นธาตุที่หาได้ยากที่สุดและมี อำนาจครอบจักรวาลประหนึ่งแก้วสารพัดนึก แต่สิ่งที่จะอธิษฐานนั้นจะสำเร็จได้โดยไม่เกินอำนาจของกฏแห่งกรรมตามวาสนาเท่านั้น 



เหล็กไหลบารมีแห่งเขาอึมครึม
เหล็กไหลเจ็ดสีมีคุณทุกด้าน ทั้งเสน่ห์ เมตตามหานิยม คุ้มครองชีวิต ป้องกันภูตผีปีศาจร้าย ให้โชคลาภ ทำน้ำมนต์กันคุณไสย์ แคล้วคลาด จากภัยทั้งปวง  เป็นตบะเดชะ เหมาะสำหรับผู้บำเพ็ญญาณบารมี มีอนุภาพ 108 ประการ มีเหล็กไหลเจ็ดสี ชิ้นเดียวเท่ากับมีเหล็กไหลชั้นยอดทุกประเภทรวมกัน ผู้ที่ครอบครองจะประสพความสำเร็จในการงาน สามารถฝ่าพันอุปสรรคทั้งหลายทั้งปวง เหล็กไหลเจ็ดสีนั้นมีทั้งเทพพรหม ฤาษี คอยรักษาดูแลอยู่มากมายหลายพระองค์  รังเหล็กไหลก้อนหนักเป็นตันๆ อาจพบเจอส่วนที่มีสีเจ็ดสีได้นิดเดียวเท่านั้น ผู้ที่ได้เหล็กไหลชนิดนี้ไว้ครอบครองจะรอดพ้นจากภัยต่างๆ วิญญาณ  ชั่วร้าย  ไม่สามารถมาทำอันตรายได้ และบารมีของเหล็กไหลเจ็ดสี ยังทำให้จิตใจ ความคิด สุขภาพร่างกายแข็งแรง ตามไปด้วย
                  
เหล็กไหลเจ็ดสี
คู่บารมี



เหล็กไหลแก้วสำเร็จ องค์ปู่ฤาษีนารอด 
คู่บารมี
"เหล็กไหลสำเร็จ" คือเหล็กไหลที่ได้จากการทำพิธีอัญเชิญขององค์ครูบาอาจารย์ ผู้ที่มากด้วยบารมีธรรม ซึ่งจะได้เหล็กไหลมาในรูปแบบขององค์พระแบบสำเร็จรูปเลย เช่นรูปลักษณ์พ่อปู่ฤาษี หรือรูปลักษณ์ของหลวงปู่ทวดเหยียบน้ำทะเลจืดเป็นต้น ถือเป็นสุดยอดขององค์เหล็กไหลทั้งปวง เพราะกล่าวได้ว่าเป็นการมอบองค์เหล็กไหลให้มาด้วยความเมตตาจากองค์ครูบาอาจารย์ เทพฯ พรหม และเทวดา ที่ได้สถิตย์ปกปักษ์รักษาองค์เหล็กไหล ณ สถานที่ศักดิ์สิทธิ์นั้นๆอย่างแท้จริง ซึ่งท่านได้เมตตามอบเหล็กไหลอันศักดิ์สิทธิ์ให้มาในรูปแบบที่เป็นองค์สำเร็จโดยตรง เพื่อที่จะได้คุ้มครองปกปักษ์รักษาผู้ที่มีบุญบารมีถึงท่านที่ได้มีโอกาสครอบครองบูชาสืบต่อไป




เหล็กไหลเพชรนาคราช 
คู่บารมี
"เพชรนาคราชสีแดง" หมายถึงสีแห่งฤิทธิ์อำนาจ เป็นสีอันทรงพลังกล้าหาญ ทั้งยังเป็นที่เกรงขามสำหรับผู้อื่น ผู้ที่ได้ครอบครองเพชรพญานาคสีแดงนี้ จะต้องเป็นผู้ที่ปฏิบัตธรรม ฝึกฝนให้จิตมีสติ รู้เท่าทันอารมณ์เท่านั้น เพราะ มิฉะนั้นจะเกิดผลกระทบที่ำไม่ดีเกิดขึ้นทั้งตนเองและผู้อื่น เนื่องจากสีแดงบ่งบอก ถึงโทสะจริต คือต้องการสิ่งใด ก็ต้องรวดเร็ว ดั่งใจต้องการ หากขักช้าก็จะเกิดความโมโหขึ้นมา ยิ่งเพชรพญานาคที่มีสีออกไปในโทนขึ้นมากเท่าใด ก็ยิ่งแสดงให้เห็นถึงพลังในทางลบ เพราะจะเร่าร้อนจนเผาผลาญจิตใจของตนเอง. เพชรพญานาคสีแดง ยังบ่งบอกถึงความเป็นนาคราชระดับผู้นำ เพราะฉะนั้นย่อมมีฤิทธิ์อำนาจมากกว่าเป็นพิเศษ, เพชรพญานาคสีแดงจึงเหมาะกับผู้ที่ชอบไปในทางฤิทธิ์เดช หรือพลังของญาณบารมี มีความเป็นผู้นำ ซึ่งจะช่วยส่งเสริมความมีสง่าราศรี แต่ผู้นั้นต้องมีคุณธรรมในใจด้วย เนื่องจากมีผลในด้านแคล้วคลาด แต่อย่านำไปใช้ในทางที่ผิด เพราะทราบดีอยู่แล้วว่าเพชรพญานาคสีแดงนั้น มีฤิทธิ์อำนาจมากเพียงใด หากใช้ในทางลบ บาปกรรมก็มากเท่านั้น.





 องค์ปู่ฤาษีนารอด 
ประทับบนฐานเหล็กไหลเขาอึมครึม
"องค์ปู่ฤาษีนารอด" หล่อจากผงเหล็กไหลเขาอึมครึมผสมกับผงนิลมีบารมีญาณขององค์ปู่ฤาษีนารอด และปู่ฤาษีอีกมากมายหลายองค์ รวมถึง เทพเทวดา อีกหลายพระองค์สถิตประทับอยู่ด้วยเช่นกัน มีอานุภาพมากมายครอบจักรวาล ผู้ใดสักการะบูชามีไว้จะเจริญรุ่งเรืองตลอดไป





"องค์พญาศรีสุทโธนาคราช"
"องค์เจ้าปู่ศรีสุทโธนาคราช" หล่อจากผงเหล็กไหลเขาอึมครึมผสมกับผงนิล ภายในบรรจุก้อนเหล็กไหลซึมเข้าไปในองค์  ดวงตาทั้งสองข้างเป็น "เหล็กไหลพญาเพชรดำ" นอกจากบารมีองค์เจ้าปู่ศรีสุทโธนาคราชแล้ว ยังมีบารมีญาณขององค์ปู่ฤาษี และ เทพเทวดา อีกหลายพระองค์สถิตประทับอยู่ด้วยเช่นกัน มีอานุภาพมากมายครอบจักรวาล ผู้ใดสักการะบูชามีไว้จะเจริญรุ่งเรืองตลอดไป




เขี้ยวนาคราช
"เขี้ยวนาคราช" แกะจากเหล็กไหลเขาอึมครึม จ.กาญจนบุรี พุทธคุณครอบจักรวาล แคล้วคลาด คงกระพัน เมตตา โชคลาภ กันคุณไสย์ คุณผี คุณคน สิ่งอวมงคลได้ชะงัก ถอนพิษจากแมลงกัดต่อยโดยใช้ถูบริเวณที่ถูกกัดต่อย ผู้ใดมีไว้ครอบครองจะเกิดความเป็นมงคลยิ่งนัก เขี้ยวนาคราชทุกองค์มีฌานพญานาคราช ดูแลรักษาอยู่ ท่านคอยคุ้มครองคนดี ผู้ที่บูชาให้ดีอยู่เสมอจะเกิดแต่ความเจริญตลอดกาล

เขี้ยวนาคราช
 (ขนาดยาว10ซ.ม)




เเก้วโป่งข่าม (แก้วเข้าแก้ว)
แก้วโป่งข่าม เป็นควอซต์ (Quartz) ธรรมชาติ ที่มีความเชื่อว่า ใช้เป็นเครื่องรางนำโชค ปกป้องรักษาคุ้มภัย ส่งเสริมให้ผู้ครอบครองอยู่ร่มเย็นเป็นสุข
“แก้วเข้าแก้ว” เป็นชื่อลักษณะหนึ่งของโป่งข่าม ที่ถือว่ามีคุณในทางชื่อเสียง ความสำเร็จในธุรกิจ การติดต่อทำมาค้าขาย รวมไปถึงการเปลี่ยนโชคชะตาผู้เป็นเจ้าของให้พลิกผันไปในทางที่ดีได้
ที่เรียกว่า “แก้วเข้าแก้ว” ด้วยจะมีหน่อแก้วเล็กๆ เป็นลิ่มเดียวหรือเป็นกลุ่มก็ได้ แทงทะลุจากภายนอกเข้าในภายใน หรือเป็นหน่อแก้วที่เกิดในผลึกแก้วใหญ่อีกชั้น ถือว่าเป็นแก้วโป่งข่ามที่หาได้ยากไม่น้อย




สร้อยงาช้าง
ช้าง เป็นสัตว์ขนาดใหญ่ที่แสดงถึงพลังและอำนาจ ดังนั้นมนุษย์เราจึงมีความเชื่อต่างๆเกี่ยวกับช้างมากมายตั้งแต่โบราณ โดยชิ้นส่วนต่างๆของช้างถือว่าเป็นสัญลักษณ์หรือมีความสำคัญต่อพลังและการดำรงชีวิตของผู้ที่ได้ครอบครองเป็นอย่างมาก งาช้าง ความเชื่อเกี่ยวกับงาช้าง งาเป็นสัญลักษณ์ของความริสุทธ์และเป็นมงคล จึงมักจะนำงาช้างคู่ขนาดใหญ่มาประดับโต๊ะหมู่บูชาเพื่อพุทธบูชา งายังมีความหมายถึงพลังอำนาจเพิ่มขึ้นในตัวของผู้ที่ได้ครอบครองเป็นเจ้าของ ช่วยให้สามารถฟันฝ่าอุปสรรค และมีชัยเหนือศัตรู เขี้ยว เขา นอ งา มีอานุภาพโดยธรรมชาติ หากประสงค์ใช้ในทางมงคล เช่น แช่น้ำมนต์แล้วประพรมสินค้าจะทำให้ซื้อง่าย ขายคล่อง ประพรมสถานที่ใดผีร้ายก็พ่ายหนี ใครได้อาบน้ำมนต์นี้ ย่อมไร้ราคีเสนียดจัญไร ผู้ใดมีไว้ควรเก็บไว้ในที่สูง หมั่นสักการะบูชาด้วยการถือศีลสวดมนต์ไหว้พระทำสมาธิ จะประสบผลด้านโภคสมบัติเป็นนิจสิน วิธีรับพลังจากงาช้าง โดยการสวมเครื่องประดับที่ทำจากงาต่างๆ เช่น กำไล แหวน ตุ้มหู สร้อย หรือพกพางาแกะสลักในรูปของเครื่องรางต่างๆ วิธีการการดูลักษณะงาแท้ จะต้องสีลายมีเส้นเป็นระเบียบสวยงาม ลายของงานั้นจะเป็นเส้นตัดกันชัดเจน มีระเบียบ








ศีล – สมาธิ – ปัญญา – สะอาด – สงบ – สว่าง
 
หลวงปู่ชาสอนศีล สมาธิ
 ปัญญา
--------------------------------------------------------------------------------------------------
ผู้ที่จะเข้าถึงพุทธธรรมนั้น เบื้องต้นจะต้องทำตนให้เป็นคนมีความซื่อสัตย์สุจริตอยู่เป็นประจำ และเข้าใจความหมายของคำว่าพุทธธรรมต่อไปว่า
  • พุทธะ หมายถึงท่านผู้รู้ตามเป็นจริง จนมีความสะอาด สงบ สว่างในใจ
  • ธรรม หมายถึงตัวความสะอาด สงบ สว่าง ได้แก่ ศีล สมาธิ ปัญญา ดังนั้นผู้ที่เข้าถึงพุทธธรรม ก็คือ คนเข้าถึงศีลสมาธิ ปัญญา นี่เอง
การเดินทางเข้าถึงพุทธธรรมมิใช่เดินด้วยกายแต่ต้องเดินด้วยใจจึงจะเข้าถึงได้ ได้แบ่งผู้เดินทางออกเป็น 3 ชั้น คือ 
1. ชั้นต่ำ ได้แก่ ผู้รู้จักปฏิญาณตนเองเอาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งอาศัย ตั้งใจปฏิบัติตามคำสั่งสอนด้วยดี ละทิ้งประเพณีที่งมงายและเชื่อมงคลตื่นข่าว จะเชื่ออะไรต้องพิจารณาเหตุผลเสียก่อน คนพวกนี้เรียกว่า สาธุชน
2. ชั้นกลาง หมายถึง ผู้ปฏิบัติจนเชื่อต่อพระรัตนตรัยอย่างแน่นแฟ้นไม่เสื่อมคลาย รู้เท่าทันสังขาร พยายามสละความยึดมั่นถือมั่นให้น้อยลง มีจิตเข้าถึงธรรมสูงขึ้นเป็นขั้นๆ ท่านเหล่านี้เรียกว่าพระอริยบุคคล คือ พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี
3. ชั้นสูง ได้แก่ผู้ปฏิบัติจนกาย วาจา ใจ เป็นพุทธะ เป็นผู้พ้นจากโลก อยู่เหนือโลก หมดความยึดถืออย่างสิ้นเชิง เรียกว่า พระอรหันต์ ซึ่งเป็นพระอริยบุคคลชั้นสูงสุด

การทำตนให้เป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์
ศีล คือ ระเบียบควบคุมรักษากายวาจาใจให้เรียบร้อย คือ เจตนา ในเมื่อเรามีสติระลึกได้อยู่เสมอเพื่อควบคุมใจให้รู้จักละอายต่อการทำชั่ว เสียหาย และรู้สึกตัวกลัวผลของความชั่วจะตามมา 
--- พยายามรักษาใจให้อยู่ในแนวทางแห่งการปฏิบัติที่ถูกที่ควรเป็นศีลอย่างดีอยู่ แล้ว ตามธรรมดา เมื่อเราใช้เสื้อผ้าที่สกปรกและตัวเองก็สกปรก ย่อมทำให้จิตใจอึดอัดไม่สบาย แต่ถ้าหากเรารู้จักรักษาความสะอาดทั้งร่างกายและเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่ม ย่อมทำให้จิตใจผ่องใสเบิกบาน 
--- เมื่อศีลไม่บริสุทธิ์เพราะกายวาจาสกปรก ก็เป็นผลให้จิตใจเศร้าหมอง ขัดต่อการปฏิบัติธรรม และเป็นเครื่องกั้นใจมิให้บรรลุถึงจุดหมาย 
--- ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับจิตใจที่ได้รับการฝึกมาดีหรือไม่เท่านั้น เพราะใจเป็นผู้สั่งให้พูดให้ทำ 

การฝึกสมาธิ

--- การฝึกสมาธิ ก็คือการฝึกจิตของเราให้ตั้งมั่นและมีความสงบเพราะตามปกติ จิตนี้เป็นธรรมชาติดิ้นรน กวัดแกว่ง ห้ามได้ยาก รักษาได้ยาก ชอบไหลไปตามอารมณ์ต่ำๆ 
--- เหมือนน้ำชอบไหลสู่ที่ลุ่มเสมอ พวกเกษตรกรเขารู้จักกั้นน้ำไว้ทำประโยชน์ในการเพาะปลูกต่างๆ มนุษย์เรามีความฉลาดรู้จักเก็บรักษาน้ำ เช่น กั้นฝาย ทำทำนบทำชลประทาน เหล่านี้ก็ล้วนแต่กั้นน้ำไว้ทำประโยชน์ทั้งนั้น พลังงานไฟฟ้าที่ให้ความสว่างและใช้ทำประโยชน์อื่นๆ ก็ยังอาศัยน้ำที่คนเรารู้จักกั้นไว้นี่เอง ไม่ปล่อยให้มันไหลลงที่ลุ่มเสียหมด 
--- ดังนั้นจิตใจที่มีการกั้นการฝึกที่ดีอยู่ ก็ให้ประโยชน์อย่างมหาศาลเช่นกัน ดังพระพุทธองค์ตรัสว่า “จิตที่ฝึกดีแล้ว นำความสุขมาให้ การฝึกจิตให้ดีย่อมสำเร็จประโยชน์” ดังนี้เป็นต้น เราสังเกตดูแต่สัตว์พาหนะ เช่น ช้าง ม้า วัว ควาย ก่อนที่เราจะเอามาใช้งานต้องฝึกเสียก่อน เมื่อฝึกดีแล้วเราจึงได้อาศัยแรงงานมันทำประโยชน์นานาประการ

จิตที่ฝึกดีแล้วมีคุณค่ามากมาย
--- จิตที่ฝึกดีแล้วย่อมมีคุณค่ามากมายกว่ากันหลายเท่า ดูแต่พระพุทธองค์และพระอริยสาวก ได้เปลี่ยนภาวะจากปุถุชนมาเป็นพระอริยบุคคล จนเป็นที่กราบไหว้ของคนทั่วไปและท่านยังได้ทำประโยชน์อย่างกว้างขวางเหลือ ประมาณที่เราๆจะกำหนด 
--- เพราะพระองค์และสาวกได้ผ่านการฝึกจิตมาด้วยดีแล้วทั้งนั้น จิตที่เราฝึกดีแล้วย่อมเป็นประโยชน์แก่การประกอบอาชีพทุกอย่าง ยังเป็นทางให้รู้จักทำงานด้วยความรอบคอบ ไม่เป็นคนหุนหันพลันแล่น ทำให้ตนเองมีเหตุผล และได้รับความสุขตามสมควรแก่ฐานะ


การฝึกอานาปานสติภาวนา
--- การฝึกจิตมีอยู่หลายวิธีด้วยกัน แต่วิธีที่เห็นว่ามีประโยชน์และเหมาะสมที่สุด ใช้ได้กับบุคคลทั่วไป วิธีนั้นเรียกว่า อานาปานสติ-ภาวนา คือ มีสติจับอยู่ที่ลมหายใจเข้าและหายใจออก 
--- ที่สำนักนี้ให้กำหนดลมที่ปลายจมูกโดยภาวนาว่าพุทโธ ในเวลาเดินจงกรม และนั่งสมาธิ ก็ภาวนาบทนี้ จะใช้บทอื่น หรือจะกำหนดเพียงการเข้าออกของลมก็ได้ แล้วแต่สะดวก 
--- ข้อสำคัญอยู่ที่ว่าพยายามกำหนดลมเข้าออกให้ทันเท่านั้น การเจริญภาวนาบทนี้จะต้องทำติดต่อกันไปเรื่อยๆ จึงจะได้ผล ไม่ใช่ว่าทำครั้งหนึ่งแล้วหยุดไปตั้งอาทิตย์สองอาทิตย์ หรือตั้งเดือนจึงทำอีก อย่างนี้ไม่ได้ผล พระพุทธองค์ตรัสสอนว่า ภาวิตา พหุลีกตา อบรมกระทำให้มาก คือทำบ่อยๆ ติดต่อกันไป

การใช้สติกำหนดลมหายใจ
การฝึกจิตใหม่ๆ เพื่อให้ได้ผล ควรเลือกหาที่สงบ ไม่มีคนพลุกพล่าน เช่น เราจะอยู่ที่ใดก็ตาม ใช้สติกำหนดลมหายใจอย่างเดียว แม้จิตใจจะคิดไปเรื่องอื่น ก็พยายามดึงกลับมาทิ้งเรื่องอื่นๆทั้งหมด โดยไม่พยายามคิดถึงมัน รู้ให้ทันกับความคิดนั้นๆ เมื่อทำเข้าบ่อยๆ จิตจะสงบลงเรื่อยๆ เมื่อจิตสงบตั้งมั่นแล้ว ถอยจิตนั้นมาพิจารณาร่างกายร่างกายคือขันธ์ 5 ได้แก่ รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ให้เห็นเป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ หาตัวตนไม่ได้ มีแต่ธรรมชาติไหลไปตามเหตุตามปัจจัยเท่านั้น สิ่งทั้งปวงตกอยู่ในลักษณะที่เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทั้งนั้น ความยึดมั่นต่างๆ จะน้อยลงๆ เพราะเรารู้เท่าทันมัน เรียกว่าเกิดปัญญาขึ้น


เมื่อจิตดีแล้วปัญญาเกิด
--- เมื่อเราใช้จิตที่ฝึกดีแล้วพิจารณารูป นามอยู่อย่างนี้ ให้รู้แจ้งแน่ชัดว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ปัญญารู้เท่าทันสภาพความเป็นจริงของสังขารที่เกิด เป็นเหตุให้เราไม่ยึดถือหรือหลงใหล 
--- เมื่อเราได้อะไรมาก็มีสติ ไม่ดีใจจนเกินไป 
--- เมื่อของสูญหายไป ก็ไม่เสียใจจนเกิดทุกขเวทนา เพราะรู้เท่าทัน 
--- เมื่อประสบความเจ็บไข้หรือได้รับทุกข์อื่นๆ ก็มีการยับยั้งใจ เพราะอาศัยจิตที่ฝึกมาดีแล้ว เรียกว่ามีที่พึ่งทางใจเป็นอย่างดี 
--- สิ่งเหล่านี้เรียกได้ว่าเกิดปัญญารู้ทันตามความเป็นจริง 
--- ที่จะเกิดปัญญาเพราะมีสมาธิ สมาธิจะเกิดเพราะมีศีล มันเกี่ยวโยงกันอยู่อย่างนี้ ไม่อาจแยกออกจากกันไปได้

ลมหายใจกับ ศีล - สมาธิ - ปัญญา
--- อาการบังคับตัวเองให้กำหนดลมหายใจ ข้อนี้เป็นศีล
--- การกำหนดลมหายใจได้และติดต่อกันไปจนจิตสงบ ข้อนี้เรียกว่าสมาธิ
--- การพิจารณากำหนดรู้ลมหายใจว่าไม่เที่ยง ทนได้ยากมิใช่ตัวตน แล้วรู้การปล่อยวาง ข้อนี้เรียกว่า ปัญญา
--- การทำอานาปานสติภาวนา เป็นการบำเพ็ญทั้งศีล สมาธิ ปัญญา ไปพร้อมกัน 
--- เมื่อทำศีล สมาธิ ปัญญา ได้ชื่อว่าเดินทางตามมรรคมีองค์แปด ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นทางสายเอกประเสริฐกว่าทางทั้งหมด เพราะจะเป็นการเดินทางเข้าถึงพระนิพพานเมื่อเราทำตามที่กล่าวมานี้ ชื่อว่าเป็นการเข้าถึงพุทธธรรมอย่างถูกต้องที่สุด


ผลของการปฏิบัติสมาธิภาวนา
มีผลปรากฏตามระดับจิตของผู้ปฏิบัติ แบ่งเป็น 3 พวก ดังต่อไปนี้
1. สำหรับสามัญชนผู้ปฏิบัติตาม มีความเชื่อและศรัทราในคุณพระรัตนตรัย อีกทั้งเชื่อตามผลกรรมว่า ทำดีได้ดีทำชั่วได้ชั่ว จะทำให้ผู้นั้นมีความสุขความเจริญยิ่งขึ้น ---เปรียบเหมือนคนได้กิน***ของหวาน ที่มีรสหวาน
2. สำหรับพระอริยบุคคลชั้นต่ำ ย่อมมีความเชื่อในคุณพระรัตนตรัยแน่นแฟ้นไม่เสื่อมคลาย เป็นผู้มีจิตใจผ่องใส ดิ่งสู่นิพพาน---เปรียบเหมือนคนได้กิน***ของหวาน ที่มีทั้งรสหวานและมัน
3. สำหรับท่านผู้ได้บรรลุอรหัตตผล ย่อมมีความหลุดพ้นจากห้วงทุกข์ทั้งปวง เพราะเป็นพุทธะแล้ว พ้นจากโลก อยู่จบพรหมจรรย์---เปรียบเหมือนได้กิน***ของหวาน ที่มีทั้งรสหวาน มัน และหอม

------------------------------------------------------------------------
เรื่องลาภยศ สรรเสริญ เจริญสุข 
ทั้งเรื่องทุกข์ เรื่องโศกเศร้า ไม่สมหวัง
ที่หมุนเวียน เปลี่ยนไป ให้ระวัง
ไม่จีรัง คล้ายความฝัน เท่านั้นเอง
รู้จักพอ ก่อสุขทุกสถาน
ไม่รู้จักพอ จะก่อความทุกข์ตลอดกาล



แนะนำการฝึกมโนมยิทธิสำหรับนักปฏิบัติใหม่
โดย หลวงพ่อพระราชพรหมยาน(หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)
วัตถุประสงค์ของการฝึกมโนมยิทธิ
เพื่อให้นักปฏิบัติทุกท่าน พิสูจน์พระธรรมคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า
ว่า นรก สวรรค์ พรหม นั้นมีจริงหรือไม่ พระนิพพานสูญจริงหรือ และเป็นการปฏิบัติทางลัดให้เข้า
สู่พระนิพพานได้โดยเร็วขึ้น ไม่ใช่ฝึกเพื่อความสนุกสนานหรือเพื่อเป็นการโอ้อวดบุคคลอื่น
หรือเพื่อไปเป็นหมอดูให้ชาวบ้าน 
จุดประสงค์ให้ทุกท่านตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทปหาน โดยเริ่มเป็นพระโสดาบันจนถึงพระอรหันต์

นักปฏิบัติทุกท่านควรศึกษา สังโยชน์ 10 และบารมี 10 ให้เข้าใจ และอารมณ์ของพระอริยเจ้า
ตั้งแต่เบื้องต้นจนถึงปลาย ฉะนั้นนักปฏิบัติเมื่อได้แล้วควรฝึกฝนให้ชำนาญทุกอิริยาบถ
โดยกำหนดจิตของตนไปเฝ้าอยู่เฉพาะพระพักตร์ขององค์สมเด็จพระชินวรอยู่เป็นประจำ
การวางอารมณ์ ขณะเวลาปลอดเสียง

1. ตัดความกังวลห่วงใยใดๆ ทั้งหลายให้หมดสิ้น และตั้งจิตแผ่เมตตาไปในจักรวาลทั้งปวง
ตั้งจิตไว้ว่า เราจะไม่เป็นศัตรูกับใคร มนุษย์ และสัตว์ทั้งหลายเป็นเพื่อน เกิด แก่ เจ็บ ตาย
รักสุขเกลียดทุกข์เหมือนกัน

2. กำหนดรู้ลมหายใจ เข้า ออก พร้อมทั้งพิจารณาว่าเราเกิดมาเพื่อตาย ร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา
ร่างกายนี้เป็นของสกปรก ไม่เที่ยง เป็นปัจจัยของความทุกข์ทั้งหลายและเสื่อมสลายไปในที่สุด
ดินแดนที่มีความสุขอมตะ คือ พระนิพพาน ให้จิตจับพระนิพานเป็นอารมณ์

3. เมื่อพิจารณาจนจิตสบายแล้ว ก็ใช้คำภาวนาว่า “นะ มะ พะ ธะ” พร้อมกับกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก
เวลาหายใจเข้าว่า “นะ มะ” เวลาหายใจออกว่า “พะ ธะ” ภาวนาแบบสบายๆ อย่าบังคับให้ช้าหรือเร็วเกินไป
(เมื่อรู้สึกอึดอัดให้หายใจเข้าช้าๆ หายใจออกช้าๆ 3-4 ครั้ง ก็จะหายเอง)

เมื่อหมดเวลาปลอดเสียงแล้ว ถ้าครูเข้าไปให้คำแนะนำขอให้นักปฏิบัติหยุดภาวนา วางอารมณ์เบาๆ
แบบสบายๆ อย่าปักอารมณ์ สมาธิให้แน่นจะเสียผล ตั้งใจฟังคำแนะนำ และปฏิบัติโดยพิจารณาตามไปด้วยทันที
(ตั้งใจพิจารณาให้เห็นจริงด้วยปัญญา)
เมื่อจิตสามารถเคลื่อนตัวได้แล้วการตอบคำถามให้ตอบตามความรู้สึกสัมผัสทางจิตก่อน
มิใช่ เอาตาไปเห็น หรือ เอาหูไปฟังเสียง ถ้าครูถามว่ามีความรู้สึกว่าเห็นอะไร
ความรู้สึกของจิตแรกว่าอย่างไรให้ตอบอย่างนั้นทันที อย่าไปลังเลสงสัย
ถ้ามีอารมณ์ไม่แน่ใจ อารมณ์ลังเลสงสัยที่มาขวางอยู่ ท่านบอกว่าเป็นอารมณ์เลว
ที่กั้นความดี มาขวางอยู่ นักปฏิบัติควรศึกษาให้เข้าใจ และตัดอารมณ์สงสัยให้หมดไป

ขณะฝึกจิตมีสมาธิอารมณ์จิตย่อมเป็นทิพย์
เป็นการสัมผัสจริงไม่ใช่เกิดจากความนึกคิดของเราที่จะสร้างขึ้น ขณะฝึกตอบผิดหรือถูกยังไม่สำคัญ
ขณะฝึกขอให้มีความมั่นใจในตนเองถือแบบปฏิบัติแบบโง่ๆ ไปก่อน ถ้าครูถามว่ารู้สึกเห็นเป็นสีอะไร
ความรู้สึก ของจิตแรกบอกสีขาว เราก็ตอบว่าสีขาวทันที อย่าใช้อารมณ์ที่สองหรือคิดต่อจะเกิดอุปาทาน
ข้อนี้ท่านนักปฏิบัติควรศึกษาให้เข้าใจ และควรระวังไว้ให้มากเริ่มต้นฝึกไปแบบมืดๆ แบบตาบอดคลำช้างไปก่อน
เมื่อศีล สมาธิ ปัญญา สมบูรณ์ และชำนาญขึ้นก็สามารถจะสัมผัสความเป็นทิพย์ได้ชัดเจน เหมือนตาเห็น
(สภาพเห็นของจิตมีวงจำกัดมาก ฉะนั้นจึงต้องขออาราธนาบารมีขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเสมอ)

ข้อควรปฏิบัติในเวลาปกติ สำหรับท่านที่ปฏิบัติได้แล้วควรรักษาไว้ให้ดีขึ้นหรืออย่างน้อยก็ให้ทรงตัว
โดยจำอารมณ์ตอนขณะฝึกได้ครั้งแรกๆ และท่านที่กำลังฝึกปฏิบัติอยู่ ควรสำรวจตนเองเสมอว่า
เราบกพร่องในข้อไหนในด้านศีล สมาธิ ปัญญา (สำหรับท่านที่มาปฏิบัติใหม่หัวข้อธรรมะบางข้อ
อาจยังไม่เข้าใจให้ศึกษารายละเอียดได้จากหนังสือคู่มือปฏิบัติพระกรรมฐาน)
ควรระวังอารมณ์ของนิวรณ์ 5 ความพอใจในรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสระหว่างเพศ
ความโกรธความพยาบาท ความง่วง ความฟุ้งซ่าน อารมณ์สงสัยในพระธรรมคำสั่งสอน
ขององค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทั้ง 5 อย่างนี้ ขณะปฏิบัติให้ละโดยเด็ดขาด 
และในเวลาปกติระหว่างใช้ชีวิตประจำวัน
ควรกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก และภาวนา “นะ มะ พะ ธะ”
สลับกับการพิจารณาร่างกายให้จิตสะอาดแล้วไปกราบนมัสการพระพุทธเจ้า
ที่แดนพระนิพพาน ทำเสมอๆ หัดทำให้คล่องทุกอิริยาบถได้ยิ่งดี
เพราะหลวงพ่อท่านแนะนำว่า การที่เราจะเคลื่อนจิตไปได้นั้นต้องอาศัยกำลังของสมาธิ
การที่เราจะเห็นภาพได้ชัดเจนต้องอาศัยวิปัสสนาญาณ
นักปฏิบัติทุกท่านที่ต้องการให้ได้ผลดีต้องรักษา ศีล สมาธิ ปัญญา ให้ทรงตัวในระดับเดียวกันจึงจะได้ผลเต็มที่
เรื่องของมโนมยิทธิ เมื่อครู่อาตมาบอกว่า ถ้าใครมีวิสัยเดิมจะสามารถฝึกได้ง่าย บางคนก็มานั่งปลงว่า แล้วชาตินี้ข้าพเจ้าจะได้บ้างไหมนี่ ? ขอยืนยันว่า ถ้าใครคิดอยากจะทำ คนนั้นต้องมีพื้นฐานเดิมมาบ้างแล้ว และการฝึกกรรมฐานจริง ๆ การรู้เห็นต่าง ๆ เป็นของอันตรายเพราะว่าส่วนใหญ่พอรู้เห็นแล้ว ไม่สามารถที่จะจัดการได้ถูกต้อง เมื่อไม่สามารถจัดการได้ถูกต้อง หลงผิดทางไปมากต่อมาก การฝึกมโนมยิทธิ ที่อาตมาเจอมานั้น เกิน ๘๐ เปอร์เซ็นต์ที่ผิดทาง
ถามว่าผิดแล้วมีอันตรายไหม ? ถ้าอันตรายในทางโลกทั่ว ๆ ไปไม่มี แต่ว่าทำให้เข้าถึงธรรมได้ช้าลง มัวแต่ไปหลงสนุกอยู่กับการรู้เห็น ไปเที่ยวดูว่าคนนั้นเป็นพ่อฉัน คนนี้เป็นแม่ฉัน นั่นพี่ฉัน นี่น้องฉัน โน่นเคยเป็นสามี นี่เคยเป็นภรรยา
ปกติแล้วการฝึกกรรมฐานทุกประเภท จุดมุ่งหมายคือ ต้องการความหลุดพ้น ต้องการพ้นทุกข์ ต้องการปลดกิเลส ต้องตัดภาระทุกอย่างให้เหลือน้อยที่สุดเท่าที่จะน้อยได้ แต่ว่าแบบนี้กลายเป็นการฟื้นความสัมพันธ์ใหม่ กลายเป็นสร้างภาระเพิ่มขึ้น จึงได้เตือนให้รู้ล่วงหน้า แม้ว่าเราไม่ได้ฝึกสายมโนมยิทธิมาก็ตาม แต่ถ้าของเก่าในอดีตของเรามี ภาวนาไป ๆ จิตสงบถึงที่ การรู้เห็นจะบังเกิดเอง จิตเราปกติจะกระเพื่อมอยู่ตลอดเวลาเหมือนน้ำ น้ำที่กระเพื่อมอยู่ เราส่องหน้าตัวเองไม่เห็น หรือว่าเห็นแต่ก็เบลอ..ไม่ชัดเจน 
แต่พอฝึกไปถึงระดับหนึ่ง จิตจะค่อย ๆ นิ่ง เหมือนอย่างกับน้ำที่นิ่ง พอน้ำนิ่งสามารถสะท้อนเงาทุกอย่างที่อยู่รอบข้างลงไปในน้ำได้ สภาพจิตของเราก็นิ่งลักษณะเดียวกัน 
ถึงเวลาก็จะสะท้อนภาพทุกอย่างลงไปได้ การรู้เห็นก็จะปรากฏขึ้น
คราวนี้เราก็จะลำบาก ลำบากตรงที่ว่า เวลารู้นั้นรู้เยอะมาก แต่เราไม่สามารถที่จะรู้ได้ว่าควรพูดแค่ไหน ? แล้วก็จะได้รับคำสรรเสริญจากเพื่อนเวลาเราไปเล่าให้เขาฟังว่า บ้า..! เพราะฉะนั้นใครที่เป็นนักปฏิบัติ ถ้ายังไม่ได้รับการสรรเสริญจากคนรอบข้างว่าบ้า นั่นยังเอาดีได้ยาก ขอยืนยัน..!
 คราวนี้มโนมยิทธินั้น ลักษณะการรู้เห็น รู้เห็นแบบไหน ? การรู้เห็นนั้นเป็นการเห็นด้วยใจ ไม่ใช่สายตา โปรดลืมสายตาของเราไปได้เลย แล้วถามว่าใจเห็น เห็นแบบไหน ? อย่างเช่นว่าเรานึกถึงบ้าน นึกถึงคนที่เรารู้จัก ก็จะชัดเจนในความรู้สึกของเรา แต่ถามว่าเห็นหรือไม่ ? ไม่ใช่ตาเห็นแน่นอน..ใช่ไหม ? ลักษณะของมโนมยิทธิจะเป็นแบบนั้น แต่คราวนี้บ้านของเรา หรือว่าคนที่เรารู้จัก เราสามารถกำหนดรู้ได้ชัดเจนมาก เพราะเราคุ้นชินกับสิ่งนั้น 
แต่ว่าในเรื่องอื่น ๆ ถ้าเทียบการฝึกมโนมยิทธิ ครูฝึกถ้าต้องการพิสูจน์ อาจจะนำเราไปยังสถานที่ต่าง ๆ ที่เราไม่เคยไป หรือว่าไปนรกไปสวรรค์โน่นเลย เราไม่เคยชินกับสิ่งทั้งหลายเหล่านั้น เพราะฉะนั้น..ความรู้สึกแรกที่ปรากฏขึ้นกับใจจะสำคัญที่สุด..! เราต้องเชื่อความรู้สึกนั้น เอ๊ะ..แม้แต่นิดเดียว แปลว่าพลาดอย่างแน่นอน 
ความรู้สึกต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น แรก ๆ มองไม่เห็นภาพหรอก มืดสนิท..! คุยในเรื่องความรู้สึกล้วน ๆ น่าจะเป็นอย่างนั้น น่าจะเป็นอย่างนี้ หรือว่าเป็นอย่างนั้น เป็นอย่างนี้ ตอบส่งไปได้เลย แล้วตอบไปก็ถูกด้วย แต่ว่าเราต้องจำอารมณ์นั้นเอาไว้ให้ได้ เหตุที่ต้องจำอารมณ์นั้นเอาไว้ให้ได้ก็เพราะว่า ถ้าทุกครั้งเรากำหนดกำลังใจลักษณะอย่างนั้น การรู้เห็นจะสามารถรู้ได้ถูกต้อง พอทำไป ๆ ความมั่นใจเริ่มมี คราวนี้จิตจะนิ่งได้ระดับหนึ่ง ภาพก็จะปรากฏ

ตอนภาพปรากฏนี่เสียคนอีกเยอะเลย เพราะว่าทันทีที่ภาพปรากฏอยู่ตรงหน้า ความที่อยากรู้เห็นอย่างชัดเจน เราจะใช้สายตาเพ่งเอา อย่าลืมว่ามโนมยิทธิเป็นการส่งใจออก ปกติการส่งใจออกนอก เป็นสาเหตุของทุกข์อย่างแน่นอน แต่มโนมยิทธิไม่สร้างทุกข์ให้ในช่วงนั้น เพราะว่าเป็นการส่งออกด้วยการควบคุมของสมาธิ ไม่ใช่ส่งออกไปฟุ้งซ่านแบบไม่มีกำลังสมาธิควบคุม ถ้าหากว่าส่งออกแบบฟุ้งซ่านนั้น จะเป็นต้นเหตุของทุกข์ที่เรียกว่า สมุทัย
เมื่อจิตส่งออกไปถึงที่นั้น จะรู้เห็นสิ่งนั้น แต่ทันทีที่เราเห็น เราใช้สายตาเพ่งเพราะต้องการให้ชัดขึ้น การนึกถึงตา คือนึกถึงตัวเอง เป็นการดึงกำลังใจกลับมา ในเมื่อใจพ้นจากตรงนั้น ภาพที่เห็นจะหายไป ฉะนั้น..ทันทีที่เราเพ่ง ภาพจะหายทันที แล้วเราก็จะมากลุ้มใจว่า เอ๊ะ..! ทำไมเมื่อกี้เห็น แต่ตอนนี้หายไปแล้วพอใจนิ่งใหม่ ก็เห็นอีก เพ่งอีกก็หายอีก หลายต่อหลายท่านติดอยู่ตรงขั้นตอนนี้เป็นปี ๆ จนกว่าเราจะวางกำลังใจได้ว่า การรู้เห็นครั้งแรกที่มีแค่ความรู้สึกโดยไม่ต้องเห็นภาพ ก็ถูกต้องดีแล้ว.
เพราะฉะนั้น..ภาพจะปรากฏหรือไม่ปรากฏก็ตาม เป็นเรื่องของมัน ถ้าหากเราทำกำลังใจอย่างนี้ได้ เขาเรียกว่ามีอุเบกขา สมาธิทุกขั้นตอนต้องมีอุเบกขา ถ้าไม่มีก็ไม่ทรงตัวอุเบกขาในที่นี้จะสรุปง่าย ๆ ว่า คือการที่เรามีหน้าที่ภาวนา มีหน้าที่ทำตามที่ครูฝึกบอก ก็ทำไป จะเห็นหรือไม่เห็น เป็นเรื่องของมัน ถ้าตัดใจอย่างนี้ได้ ก็จะง่าย
โดยเฉพาะอาตมาอยากจะบอกว่า คนเราทุกคน ถ้าคิดเป็น ได้มโนมยิทธิทุกคน เพียงแต่เราใช้ความคิดเป็นไหม? อย่างตอนนี้เราคิดถึงบ้าน ถ้าบุคคลที่ได้อภิญญาจะเห็นเราไปอยู่ที่บ้านแล้ว ถามว่าต้องใช้ยานพาหนะอะไรบ้างไหม ? จะต้องไปเปิดประตูออกไปไหม ? ต้องไปขึ้นรถ ต้องเสียเวลาขับรถอีกเป็นชั่วโมง ๆ กว่าจะถึงหรือเปล่า ?
แต่ว่ามโนมยิทธินั้นแค่คิดก็ถึงแล้ว ไม่โดนจำกัดด้วยขั้นตอนของร่างกายใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะเป็นกำลังใจ เราคิดถึงดวงอาทิตย์ตอนนี้ กำลังใจเราก็อยู่ที่ดวงอาทิตย์ คิดถึงดวงจันทร์ กำลังใจของเราก็อยู่ที่ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ห่างจากโลกของเรามาก แสงที่ใช้เวลาเดินทาง ๑๘๖,๐๐๐ ไมล์ต่อวินาที ใช้เวลา ๘ นาทีกว่าจะถึงโลกเรา แต่เราคิดถึงดวงอาทิตย์ กำลังใจเราไปจ่ออยู่ที่นั่นเดี๋ยวนั้นเลย ไม่ติดด้วยขั้นตอนของการเดินทาง หรือว่ารูปแบบของร่างกาย เพราะเป็นกำลังใจอย่างเดียว
ข้อห้าม..! ในการฝึกมี ๔ ข้อด้วยกัน
ข้อที่หนึ่ง ต้องไม่กลัว ส่วนใหญ่กลัวว่า การถอดจิตออกไปจะกลับได้หรือเปล่า ? ถ้ากลับไม่ได้ก็แย่เลย..! หรือว่าออกไปแล้วจะเจอสิ่งที่น่ากลัว เช่น เจอผี เป็นต้น ถ้าหากว่ากลัว กำลังใจของเราไม่มั่นคง ฝึกไปก็ไม่ได้ผล

ข้อที่สอง ต้องไม่อยาก อยากมากจนเกินไปก็ไม่ได้ จากเหตุผลที่กล่าวมาแล้วข้างต้น สิ่งที่จะรู้เห็นเหมือนกับช่องกลม ๆ อยู่ตรงหน้าพอดี ๆ ยืดคอเลยช่องจะไปมองอะไรเห็น 

เวลาครูฝึกบอกเราว่า ให้เลิกการภาวนา ขอให้เลิกจริง ๆ ท่านใดที่มีพื้นฐานการภาวนามาก่อน ฝึกมโนมยิทธิจะได้ยากเย็นเข็ญใจที่สุด 

เนื่องจากว่าการรู้เห็นมี ๒ ระดับ ระดับแรกเรียกว่า อุปจารสมาธิ ซึ่งก็คือดวงปฐมมรรคของธรรมกาย ภาพจะปรากฏตอนนั้น ระดับที่สองเป็นฌานสี่ไปเลย ในระหว่างกลางคือ ฌาน ๑,๒,๓ นั้นจะไม่เห็นอะไร

เหมือนกับมีห้องสองห้อง อยู่ชั้นบนกับชั้นล่าง การตกแต่งทุกอย่างเหมือนกันหมด เราอยู่ชั้นบนก็สามารถบรรยายได้ว่า ห้องนั้นมีสภาพอย่างไร อยู่ชั้นล่างก็สามารถบรรยายได้ ว่าห้องนั้นมีสภาพอย่างไร แต่ถ้าเราอยู่ระหว่างบันไดจะไม่รู้เห็นอะไรเลย..!
เพราะฉะนั้น ถ้าบอกให้เลิกภาวนา คนที่มีพื้นฐานเก่าขอให้เลิกจริง ๆ ลดกำลังใจลงมาสบาย ๆ เหมือนเราจะคุยกับใครสักคน หลับตาลงเบา ๆ กำหนดรู้ตามที่ครูฝึกบอก มีความรู้สึกอย่างไร ? ให้ตอบไปตามนั้นเลย
ข้อที่สาม อย่าเป็นคนขี้สงสัย ส่วนใหญ่พวกเรา รับรู้เรื่องต่าง ๆ มามากต่อมากด้วยกัน แล้วจะเป็นคนขี้สงสัย การรู้เห็นนั้น เรารู้เห็นตามสภาพปัจจุบัน ตอนนั้น เดี๋ยวนั้น แต่สิ่งที่เรารับฟังมานั้นไม่ใช่ ถ้าเราไปเอาสิ่งที่เรารับฟังมาไปเปรียบเทียบ เขาเรียกว่า ติดอุปาทาน 
ขอยกตัวอย่างตัวเองให้ฟังว่า อาตมาฝึกครั้งแรก เพราะอยากเห็นพระอินทร์ เคยดูลิเกมาเยอะ พระอินทร์ต้องตัวเขียว ๆ ใส่ชฎาด้วย ปรากฏว่าพอไปเข้าจริง ๆ ถึงบัณฑุกัมพลศิลาอาสน์ ไม่ได้เจอพระอินทร์อย่างที่ตัวเองรู้จัก
เจอลุงกำนันท่านหนึ่ง อ้วนพุงปลิ้นเลย ใส่กางเกงขาสามส่วน มีผ้าขาวม้าพาดไหล่ แถมสูบบุหรี่มวนโตอีกต่างหาก ก็ไปยืดคอมอง นี่หรือพระอินทร์ ? ท่านก็ลุกขึ้นนั่งถามว่า แล้วเอ็งอยากดูแบบไหน ? ในช่วงไม่กี่วินาที ท่านเปลี่ยนให้ดูเป็นร้อย ๆ แบบ แล้วท้ายสุดก็คือแบบที่เราคิดว่าใช่ ก็คือต้องตัวเขียว ๆ แล้วใส่มงกุฏแหลม ๆ ด้วย
ดังนั้นถ้าหากเราเป็นคนขี้สงสัย ยึดเอาอุปาทานจนเกินไป อย่างเช่น นางฟ้าไม่ใส่เสื้อ ยุ่งแน่ ๆ เลย อย่าลืมว่าท่านรวยกว่าเราเยอะ ถึงขนาดไม่มีเสื้อใส่นี่หมดสภาพเลย อันนั้นเป็นเทคนิคของโบราณที่เขาวาดภาพในแนวอีโรติก เพื่อจะดึงดูดความสนใจของคน เลยไม่ใส่เสื้อให้นางฟ้า

ข้อที่สี่ ต้องมีความมั่นใจในตัวเอง ส่วนใหญ่คนที่ขาดความมั่นใจ พอฝึกได้ในช่วงอยู่ต่อหน้าครูฝึก ลับหลังไปแล้วก็สงสัยว่า เอ๊ะ..! เมื่อกี้จะจริงหรือเปล่า ? โดยเฉพาะกลับบ้านไปแล้วทำต่อไม่ได้ ทั้ง ๆ ที่ก็เป็นวิธีเดียวกันนั่นเอง 
อย่าลืมข้อสรุปนะ
๑.ต้องไม่กลัว
๒.ต้องไม่อยากจนเกินไป ต้องคลายสมาธิของตัวเองลงมาให้หมดก่อน ยกเว้นว่าใครทรงฌาน ๔ ได้คล่องตัว ก็ไม่ต้อง 
๓.ต้องไม่เป็นคนติดสงสัย เอาของเก่ามาปะปนกับเรื่องที่พบในปัจจุบัน ตอนนั้น เดี๋ยวนั้น 
๔.ต้องมีความมั่นใจในตัวเอง 
ถ้าใครสามารถทำได้ดังนี้ โดยเฉพาะเคล็ดลับตรงที่ว่า มโนมยิทธิแค่คิดก็ถึงแล้ว ถ้าหากครูฝึกท่านบอกว่า ให้ยกกำลังใจขึ้นสู่สวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ก็ให้กำหนดความรู้สึกของเราทั้งหมดว่า ที่อยู่ตรงหน้านี่คือดาวดึงส์ 
ถ้าครูฝึกถามว่า มีสภาพอย่างไร ? ความรู้สึกตอนนั้นบอกว่าอย่างไร ? ให้ตอบไป เห็นหรือไม่เห็นก็ไม่เป็นไร เอาความรู้สึกแรกเข้าว่า พอครูฝึกบอกเราให้ทำตามไปเรื่อย ๆ สภาพจิตที่ตื่นเต้นตอนแรก ก็จะค่อย ๆ นิ่งลง เหมือนกับน้ำนิ่ง การรู้เห็นจะชัดขึ้นเรื่อย ๆ
ส่วนที่สำคัญก็คือ เมื่อทำได้แล้วอย่าทิ้ง ให้ซักซ้อมเอาไว้บ่อย ๆ จะได้เกิดความคล่องตัว ถึงเวลาจะได้ใช้งานได้จริง อย่างเช่นมีปัญหาในหน้าที่การงาน เราคิดหาทางแก้ไขไม่ได้ ก็ยกจิตขึ้นไปกราบถามพระ หรือ ถามพรหมเทวดาองค์ใดก็ได้ที่เราคุ้นเคย อย่างที่หลวงปู่สด วัดปากน้ำท่านว่า "มีอะไรให้ถามพระธรรมกายเอา.." บางทีวิธีแก้ไขที่ท่านบอกมา ก็ง่ายจนเราคิดไม่ถึง ช่วยประหยัดเวลาของเราไปได้มาก
โดยเฉพาะนักเรียนนักศึกษา ถ้าติดขัดเรื่องเรียน สามารถที่จะถามได้ทันที แม้แต่เวลากำลังทำข้อสอบอยู่ ก็ยกจิตไปถามพระได้เดี๋ยวนั้น ถ้าคล่องตัวจริง ๆ จะตอบได้ถูกต้องและถูกใจผู้ตรวจข้อสอบด้วย อาตมาเองทำคะแนนเต็มร้อยมาจนนับครั้งไม่ถ้วนแล้ว ก็ด้วยการใช้มโนมยิทธินี่เอง แต่ควรที่จะอ่านหนังสือเอาไว้เป็นพื้นฐานด้วย เพราะถ้าไม่อ่านหนังสือเลย เวลาที่คำตอบออกมาแล้วไม่คุ้นเคย เราอาจจะไม่กล้าตอบ เพราะไม่แน่ใจว่าถูกต้องหรือเปล่า
แต่ที่สำคัญที่สุด และเป็นจุดประสงค์ของหลวงพ่อฤๅษีลิงดำจริง ๆ ในการสอนมโนมยิทธินั้นก็คือการที่เราสามารถยกจิตขึ้นไปกราบพระบนพระนิพพานได้นั้น ทำให้เราคุ้นเคยกับสภาพจิตที่ปราศจาก รัก โลภ โกรธ หลง ถ้าเราจำอารมณ์นั้นมา แล้วพยายามประคับประคองรักษาเอาไว้ จิตใจเราก็จะผ่องใสมาก

ยิ่งสามารถเอาจิตเกาะพระนิพพานได้นานเท่าไร จิตของเราก็จะผ่องใสได้นานเท่านั้น เมื่อสภาพจิตคุ้นชินกับการปราศจากรัก โลภ โกรธ หลง ไปนาน ๆ ในที่สุดกิเลสทั้งหลายเหล่านี้ไม่สามารถที่จะงอกงามต่อไปได้ ก็จะเหี่ยวเฉา หมดสภาพ ตายไปเอง ทำให้เราสามารถบรรลุถึงพระนิพพานได้อย่างแท้จริง บาลีเรียกว่า เจโตวิมุตติ เป็นการหลุดพ้นด้วยการใช้กำลังใจในการกดกิเลสเอาไว้ จนกิเลสหมดสภาพ ดับสิ้นไปเอง
เมื่อเห็นประโยชน์ชัดเจนแล้ว ก็ขอให้ทุกคนตั้งใจฝึกฝน โดยการวางกำลังใจไว้ว่า วันนี้เราจะฝึกมโนมยิทธิ ครูฝึกว่าอย่างไรเราจะปฏิบัติตาม จะได้ผลหรือไม่ก็ไม่เป็นไร ขอให้เราได้ฝึกก็แล้วกัน ถ้าทำใจอย่างนี้ได้ การฝึกก็จะมีผลกับทุกท่านอย่างแน่นอน
ท้ายนี้ขอบารมีคุณพระศรีรัตนตรัย และครูบาอาจารย์ทุกท่าน อำนวยพรให้ท่านทั้งหลาย สามารถฝึกมโนมยิทธิได้คล่องตัว สามารถรู้เห็นตามความเป็นจริงได้ถ้วนทั่วทุกตัวคนด้วยเทอญ...จากนี้ไปขอให้ทุกท่านเตรียมสมาทานศีลและสมาทานพระกรรมฐานจ้ะ






















1 ความคิดเห็น:

  1. Merkur Futur Adjustable Safety Razor - Sears
    Merkur Futur wooricasinos.info Adjustable www.jtmhub.com Safety Razor is the perfect balance of performance, safety, 출장샵 and comfort. Made in Solingen, Germany, this razor has a septcasino perfect balance of https://septcasino.com/review/merit-casino/

    ตอบลบ